(เพิ่มเติม) EPG กำหนดราคา IPO หุ้นละ 5.80 บาท แสนอขาย 17-19 ธ.ค. เทรด 24 ธ.ค.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 16, 2014 18:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์(EPG)กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 700 ล้านหุ้น ที่หุ้นละ 5.80 บาท หลังจากผลนักลงทุนสถาบันตอบรับด้วยยอดจองมากกว่า 6.5 เท่า เตรียมเปิดจองซื้อ 17-19 ธ.ค.57 คาดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์(SET)ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ในฐานะหุ้นนวัตกรรมตัวแรกของไทย
          อนึ่ง EPG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ที่มีผลิตภัณฑ์จาก 3 ธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์แอร์โรเฟลกซ์ (Aeroflex) 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์แอร์โรคลาส (Aeroklas) และ 3.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ (EPP)                                                                                          ข่าวประชาสัมพันธ์

นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามแต่งตั้งให้ บล.ไทยพาณิชย์(SCBS) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย (Co-Underwriters)อีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.กสิกรไทย (KSEC),บล.บัวหลวง (BLS),บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBK),บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)(CIMBT) , บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) และบล.โอเอสเค (ประเทศไทย)(OSK)ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 700 ล้านหุ้น เพื่อจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน นอกจากนี้ จะใช้งบประมาณ 2,400 ล้านบาท ในปี 2558-2560 ในการขยายธุรกิจในกลุ่ม EPG เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโครงการต่างๆ อาทิ การลงทุนในโครงการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศของบริษัทแอร์โรคลาส จำกัด, โครงการเพิ่มระบบออโตเมชั่นด้วยเครื่องจักรความเร็วสูงในธุรกิจของ อีสเทิร์น โพลีแพค และเพิ่มกำลังการผลิตในต่างประเทศของบริษัทแอร์โรเฟลกซ์ เป็นต้น

“ปัจจุบันเรามีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน หรือ ค่า D/E (Interest bearing Debt to Equity Ratio) อยู่ที่ 1.6 เมื่อระดมทุนและชำระหนี้แล้วเราจะเหลือสัดส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 0.3-0.4 ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีแผนการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลก รวมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียน"นายภวัฒน์ กล่าว

ด้าน มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า EPG เป็นธุรกิจที่มีแบรนด์และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาก ทำให้ได้รับความสนใจจากสถาบันเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีอัตราการจองซื้อสูงกว่า 6.5 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากในภาวะของตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนสถาบันต่อพื้นฐานของธุรกิจ EPG

นอกจากนี้จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน แม้ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะความผันผวนจากตลาดโลก แต่เชื่อว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลระยะสั้นกับตลาดหุ้น และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2558 น่าจะเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐ ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างพื้นฐาน และในภาวะที่ราคาน้ำมันลดลง จะส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มวัสดุก่อสร้างของกลุ่ม EPG ทำให้มั่นใจว่าหุ้น EPG จะมีทิศทางที่ดีหลังจากนี้" มล.ทองมกุฎ กล่าว

นายอรรถพงศ์ พรธิติ บริษัท ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน EPG กล่าวว่า การกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอที่ระดับ 5.8 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของ EPG ซึ่งธุรกิจมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจของกลุ่ม EPG เป็นธุรกิจที่มีนวัตกรรมที่โดดเด่น 3 ประเภท คือ 1.นวัตกรรมด้านวัสดุ 2.นวัตกรรมด้านการออกแบบ และ 3.นวัตกรรมด้านการผลิต ทำให้สินค้ามีความโดดเด่น แตกต่าง และคู่แข่งทางการค้าไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายด้วยสิทธิบัตรที่ยืนยันความเป็นเจ้าของนวัตกรรมต่างๆที่ยังใช้อยู่กว่า 200ฉบับ ทั้งในและต่างประเทศตลอดการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ของ EPG ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ยังเป็นแบรนด์ที่เข้มแข็งและได้รับการยอมรับด้านคุณภาพในตลาดโลก โดยเฉพาะฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์แอร์โรเฟลกซ์ (Aeroflex) ที่มีการวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์ EPDM ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ของโลกและมีฐานการผลิตที่กระจายอยู่ในทวีปที่สำคัญของโลก ที่มีฐานการผลิต 6 แห่ง ใน 5 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วยไทย,สหรัฐอเมริกา, จีน 2 แห่ง, อินเดีย และเยอรมนี และฐานการผลิตในลักษณะ Licensing ของพันธมิตรทางธุรกิจ 2แห่ง คือ รัสเซีย และสวิสเซอร์แลนด์

“ความโดดเด่นด้านนวัตกรรมของ EPG ทำให้ทุกผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่ม มีคุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในตลาด รวมถึงการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีฐานการผลิตและช่องทางการจำหน่ายทั่วโลก ทำให้ EPG เป็นบริษัทที่มี High Growth และ High Margin ดังนั้นจึงมั่นใจว่าหุ้นไอพีโอของ EPG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เมื่อเปิดให้จองซื้อและคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้อย่างแน่นอน" นายอรรถพงศ์ กล่าว

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ EPG มีกลุ่มวิทูรปกรณ์ถือหุ้นเกือบ 100% ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มวิทูรปกรณ์ในบริษัทจะลดเหลือประมาณ 75% ปัจจุบัน EPG มีทุนจดทะเบียน 2,800 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ