นายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ KCM เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้กับบริษัท โดยจะนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และใช้ในการขยายสาขา 3 สาขา สำนักงานขายขนาดเล็ก 92 แห่ง ลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตแปเหล็กกล้ากำลังสูง และใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจอาคารสำเร็จรูปให้เช่าเพื่อสร้างความมั่นคงให้ผลประกอบการ และเป็นปัจจัยส่งเสริมให้บริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร็งและยั่งยืน
KCM มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวเจริญกิจ ถือหุ้น 70.58% คุณเปรมฤดี ขันดี ถือหุ้น 0.22% และคุณศิรประเสริฐ จีระพรประภา ถือหุ้น 0.17% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นในครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ ต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 89.04 เท่า คำนวณจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0146 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและทุนสำรองต่าง ๆ ทั้งหมด
ในวันทำการแรกของเดือนมกราคม 2558 mai จะนำหลักทรัพย์จัดแยกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม (mai Industry group) 8 กลุ่ม ตามลักษณะการประกอบธุรกิจ ซึ่ง KCM จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industraials)