TPCH ยันราคา IPO สะท้อน P/E ในอนาคตมั่นใจรายได้-กำไรโตก้าวกระโดด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 26, 2014 17:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง(TPCH)แถลงยืนยันว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่ 12.75 บาท/หุ้น สะท้อนค่า P/E ในอนาคตที่จะได้รับผลดีจากแผนการลงทุนตามแผนงานเพื่อไปสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนภายในปี 60 ซึ่งจะทำให้ P/E ลดลงมาเหลือไม่ถึง 10 เท่า จากค่า P/E ย้อนหลัง 12 เดือนช่วงคำนวณราคา IPO ที่ 159 เท่า

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรก คือ โรงไฟฟ้าช้างแรก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ มีรายได้ในปี 56 ที่ 180 ล้านบาท และในอนาคตเมื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าให้ได้กำลังการผลิตตามแผน 3 ปี และ 5 ปีแล้วน่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง ซึ่งเมื่อกำลังการผลิตขยับขึ้นไปที่ 100 เมกะวัตต์ จะทำให้รายได้และกำไรโตแบบก้าวกระโดด

"เราอยากให้เข้าใจว่าธุรกิจพลังงานทางเลือกเป็นการซื้ออนาคต ซึ่งเราต้องระดมทุนเพื่อไปก่อสร้างโรงไฟฟ้า ถ้าสังเกตุให้ดีกลุ่มบริษัทพลังงานทางเลือกตอนเข้าตลาดฯ จะมี P/E สูงเสมอเพราะเป็นช่วงของการเริ่มต้น พอโครงการต่างๆ สร้างเสร็จก็จะลดลง เพราะธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้ามีรายได้และกำไรที่แน่นอนในระยะยาว และการที่มีการคำนวณการรับซื้อไฟฟ้าแบบใหม่ทำให้เรามีเงินทุนในการไปลงทุนได้อีก

ลองคำนวณง่ายๆ ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ คิดเป็นรายได้ 220-250 ล้านบาท มี อัตรากำไรสุทธิราว 30% ส่วนในปีหน้าเราจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 40 เมกะวัตต์ และในปี 60 จะเป็น 100 เมกะวัตต์ ก็เท่ากับว่ารายได้จะดีกว่าตอนนี้ 10 เท่า และอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นกว่า 45% เราจะมีรายได้กำไรก้าวกระโดดขนาดไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่อง P/E ที่ 159 เท่าในตอนนี้เลย" นายเชิดศักดิ์ กล่าว

นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า มั่นใจว่าราคาหุ้น TPCH จะยืนเหนือจองได้ในวันเปิดซื้อขายวันแรกวันที่ 8 ม.ค.58 เนื่องจากในช่วงวันจองซื้อที่ผ่านมามีความต้องการซื้อของนักลงทุนมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย 39 ล้านหุ้น สะท้อนว่านักลงทุนมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของบริษัท ฯ และโดยส่วนตัวมองว่าราคาที่กำหนด 12.75 บาท/หุ้นไม่แพง และเป็นช่วงราคาที่ค่อนข้างเหมาะสม

ประกอบกับ ราคา IPO ยังไม่ได้นับรวมปัจจัยบวกจากกรณีที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ได้ปรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบใหม่เป็น Feed in Tariff (FiT) ที่ได้ประกาศเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มพรีเมียมให้กับนักลงทุนที่เข้าจองซื้อหุ้นช่วงเสนอขาย IPO ทันที โดยการคิดค่าไฟแบบใหม่จะทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปกติที่อยู่ราว 30% เพราะราคาปรับขึ้นจากเดิมมาก ทำให้ถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น รวมถึง บริษัทจะมีเงินสดไปลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ประโยชน์จากการปรับการซื้อไฟฟ้ารูปแบบใหม่มีดังนี้ 1.เพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทให้สูงขึ้น จากรูปแบบเดิมที่มี Adder ราว 3.2-3.4 บาท แต่การคำนวนรูปแบบ FiT จะมีราคารับซื้ออยู่ที่เฉลี่ย 4.2 บาท ซึ่งจากการประเมินปัจจุบันมีอัจตรากำไรสุทธิที่ 30% ขณะที่การคิดค่าไฟแบบใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 45% 2.จะผลักดันให้อัตราการเติบโตของบริษัทเป็นไปได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะการคำนวนค่าไฟแบบ FiT จะมีราคาสูงในช่วง 7 ปีแรก และจะทำให้บริษัทฯ คืนทุนได้เร็วขึ้น และ 3.บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าจะมีความสามารถในการจำหน่ายไฟฟ้าได้ดีกว่าพลังงานทดแทนแบบอื่น (แสงอาทิตย์เฉลี่ยวันละเพียง 6 ชั่วโมง) ขณะที่โรงไฟฟ้าของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีค่า Adder พิเศษอีก 1.30 บาท/หน่วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ