ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรของ BLS ที่ระดับ AA- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 29, 2014 15:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.บัวหลวง (BLS) ที่ระดับ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงเทพ ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และความแข็งแกร่งของฐานรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ตลอดจนแนวทางการบริหารงานที่ระมัดระวังของคณะผู้บริหาร ความยืดหยุ่นทางการเงินจากการเป็นบริษัทลูกของธนาคารกรุงเทพ รวมถึงศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่กลุ่มธนาคารกรุงเทพมีอยู่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมายังคงเป็นข้อจำกัดที่สะท้อนอยู่ในการจัดอันดับเครดิตของบริษัทในครั้งนี้ด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า บล. บัวหลวง จะสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางธุรกิจของบริษัทและการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารกรุงเทพในการรักษาความมั่นคงของธุรกิจและฐานะทางการเงินไว้ได้ท่ามกลางแรงกดดันในการตั้งราคาและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นภายหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงนโยบายที่ระมัดระวังของบริษัทในการลงทุนและการให้สินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ ตลอดจนความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะกระจายแหล่งที่มาของรายได้และขยายฐานลูกค้ารายย่อยของบริษัทด้วย

บล.บัวหลวงมีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในระดับ 4%-5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและมีอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ส่วนแบ่งรายได้ของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เทียบกับอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 3.5% ในปี 2550 เป็น 5.7% ในครึ่งแรกของปี 2557 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชธนกิจด้วย โดยมีรายได้จากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์รวมกับรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

บริษัทมีความเสี่ยงไม่มากจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์เนื่องจากบริษัทมีนโยบายการลงทุนที่จำกัดเพียงการหาผลตอบแทนแบบ Arbitrage และการป้องกันความเสี่ยงจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้น บริษัทได้ออกจำหน่ายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นครั้งแรกในปี 2553 และจัดได้ว่าเป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์นี้ ในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา บริษัทใช้กลยุทธ์ Dynamic Delta Hedging เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอ้างอิง ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าระบบบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทจะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้บริษัทต้องขาดทุนจากการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในระดับที่สูงเกินไป

ในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้างจำนวน 1,029 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 ซึ่งคิดเป็น 18% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและเป็น 2% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรม

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานการให้สินเชื่อที่ระมัดระวังถึงแม้ว่าบริษัทมีแผนจะขยายขนาดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ก็ตาม

การเป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงเทพให้ประโยชน์แก่บริษัทหลายประการ บริษัทได้ใช้สาขาของธนาคารกรุงเทพเป็นช่องทางสำคัญช่องทางหนึ่งในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยของบริษัท โดยบัญชีลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ราว 40% ที่บริษัทได้เพิ่มมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำจากธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจาก 1 ใน 4 ของบัญชีลูกค้าในปี 2555 ความสัมพันธ์ที่ธนาคารกรุงเทพมีกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มากมายช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในการให้บริการลูกค้ากลุ่มสถาบันในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทได้ลูกค้าด้านวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นบริษัทลูกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารกรุงเทพด้วย โดยบริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากทางธนาคารเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ วงเงินสินเชี่อดังกล่าวน่าจะเพียงพอต่อความต้องการด้านสภาพคล่องของบริษัท

ธนาคารกรุงเทพมีแนวกลยุทธ์ที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มธุรกิจในการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร จึงได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทจาก 56.34% เป็น 99.75% ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพมุ่งหวังจะใช้ศักยภาพในตลาดทุนของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการลงทุนและหาแหล่งเงินทุนของลูกค้าในกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การที่ธนาคารกรุงเทพถือหุ้นเพิ่มขึ้นยังช่วยให้การจัดการเงินทุนภายในกลุ่มกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยให้ธนาคารสนับสนุนเงินทุนแก่บริษัทได้ในจำนวนที่มากขึ้นด้วย

บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 1,188 ล้านบาทในปี 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 49% จาก 797 ล้านบาทในปี 2555 ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ และการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ โดยมีผลกำไรสุทธิ 407 ล้านบาทสำหรับ ครึ่งแรกของปี 2557 บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ที่ระดับ 46% ในปี 2556 และ 49% สำหรับครึ่งแรกของปี 2557 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

ฐานทุนของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากภายหลังจากการเป็นบริษัทย่อยของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจัดได้ว่ามีฐานทุนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ในอุตสาหกรรม บริษัทไม่ได้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจากผลประกอบการตั้งแต่ปี 2554 ถึงปี 2556 นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มทุน 1.6 พันล้านบาทจากผู้ถือหุ้นเดิมในเดือนพฤศจิกายนปี 2556 โดยบริษัทจะใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นในการขยายขีดความสามารถในการรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ รวมทั้งขยายสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และขยายธุรกิจใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 อยู่ที่ประมาณ 5.9 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับ 1.9 พันล้านบาทในปี 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไป ณ สิ้นปี 2556 อยู่ที่ 138% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องดำรงไว้ที่ระดับ 7%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ