PTTGC คาดปี 58 กำไรดีกว่าปี 57 หวังกำไรสต็อก,GRM-สเปรดโอเลฟินส์ดีหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 10, 2015 10:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการปี 58 คาดว่าจะมีกำไรดีกว่าปีก่อนที่ได้รับผลกระทบขาดทุนสต็อกในไตรมาส 4/57 หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลงอย่างรวดเร็วจาก 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาที่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรจากสต็อก เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะดีดตัวขึ้นช่วงครึ่งปีหลังจากที่ลงไปมากและปรับตัวขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 55-56 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะอยู่ระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากไตรมาส 4/57 ขณะที่ต้นทุนน้ำมันถูกลงมาก

ขณะเดียวกัน ส่วนต่าง(สเปรด)ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในปีนี้ก็ยังอยู่ระดับสูง โดยคาดว่าสเปรดผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก HDPE กับแนฟทาจะอยู่ระดับ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน แม้ว่าราคาขายช่วงนี้จะปรับลงมาที่ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตันต่ำกว่าไตรมาส 4/57 ที่อยู่ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตันก็ตาม สำหรับราคา HDPE เฉลี่ยในปี 57 อยู่ที่ 1,550 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูง เนื่องจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยังดี และผู้ผลิตก็ไม่ได้แข่งขันด้านราคามากนัก

สำหรับผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์นั้น มองว่าสเปรดยังคงอยู่ระดับต่ำ โดยเฉพาะสเปรดของพาราไซลีนซึ่งอยู่ที่ 350 เหรียญสหรัฐ/ตัน และสเปรดเบนซีน อยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ต้นทุนราคาน้ำมันดิบต่ำ ทำให้บริษัทยังมีกำไรจากอะโรเมติกส์ได้

"ปีที่แล้วเจอ Inventory loss เยอะ ปีนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้ Inventory gain กลับมาได้ด้วยหรือเปล่า ปีนี้มาร์จิ้นสูง แต่สเปรด HDPE อิงกับแนฟทา แต่ของ PTTGC อิง Gas base ดังนั้น สเปรดที่บอกไม่ได้ represent กำไรเราเท่าไร ตัวที่ represent กำไรเรา ดูที่ราคา HDPE ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นดันราคาเม็ด HDPE ขึ้นไปสูงเราก็จะมีกำไรมากขึ้นๆเรื่อยๆ แต่ปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วเยอะไหม ยังตอบไม่ได้ ยังเร็วไป"นายปฏิภาณ กล่าว

นายปฏิภาณ คาดว่าในไตรมาส 1/58 บริษัทจะมีกำไร หากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับปัจจุบัน และไม่ผันผวนมาก ขณะที่ตามปกติกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจโอเลฟินส์ มีสัดส่วนถึง 50%

สำหรับความคืบหน้าของแผนการลงทุนของบริษัทนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาเข้าลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในสหรัฐ โดยใช้ shale gas เป็นวัตถุดิบ มีขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี โดยโครงการนี้จะร่วมทุนกับกลุ่มทุนที่ไม่ใช่กลุ่มทุนท้องถิ่นหรือสหรัฐ แต่เป็นผู้มีความเชียวชาญและมีความรู้ ทั้งนี้จะศึกษาว่าการใช้ shale gas เป็นวัตถุดิบในระยะยาวจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาอีก 1 ปีในการลงรายละเอียดและออกแบบโรงงาน จึงจะสรุปงบลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับโครงการดังกล่าวสูงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับการลงทุนในแถบเอเชีย

ส่วนความคืบหน้าการร่วมลงทุนกับเปอร์ตามิน่าในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้ยังคงอยู่ในตารางเวลาเดิมที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในปลายปี 58 และคาดว่าจะสร้างโรงงานแล้วเสร็จในปลายปี 62 หรือต้นปี 63 โดยขณะนี้รอความชัดเจนแผนการลงทุนโรงกลั่นของเปอร์ตามิน่าที่เลือกซาอุดิ อารัมโกเป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการขยายโรงกลั่น ซึ่งจะนำแนฟทาจากโรงกลั่นเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์

ขณะที่ยังคงงบลงทุนสำหรับโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซีย มูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาจากเงินกู้ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐจากส่วนทุน ซึ่ง PTTGC และเปอร์ตามิน่า คาดว่าจะลงทุนฝ่ายละ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามสัดส่วนการถือหุ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ