บริษัทคาดว่าสัดส่วนการขายในประเทศปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% และต่างประเทศ 70% จากปีก่อนมีสัดส่วนในประเทศ 20% ต่างประเทศ 80% เนื่องจากการขายในประเทศมีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงกว่าการส่งไปขายต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยในปีนี้จะสูงกว่าปี 57 ที่อยู่ในระดับ 4.4%
"กลยุทธ์ที่ทำให้มาร์จิ้นโต คือการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีเพราะต้นทุนน้ำมันดิบลดลงอยู่แล้ว ขณะที่ราคาขายไม่ลด ทำให้ผลประกอบการดีต่อเนื่องถึงสิ้นปี อย่างราคาน้ำมันดิบเมื่อต้นปี 57 ที่ 100-110 เหรียญฯต่อบาร์เรล พอสิ้นปีลดลงเหลือ 50-55 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยรวมราคาน้ำมันดิบลดลง 50%แต่ราคาขายยางมะตอยลดลงแค่ 30% ปีนี้ถ้าน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ระดับต่ำก็จะยังส่งผลดีต่อบริษัทอยู่ โดยไตรมาส 1/58 ยอดขายดีมากทั้ง 5 ประเทศหลัก และความต้องการตลาดในประเทศสูงมาก"นายชัยวัฒน์ กล่าวอนึ่ง ปี 57 บริษัท มีรายได้รวม 4.6 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ บริษัทมองแนวโน้มยอดขายยางมะตอยในประเทศปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% หรือทะลุ 2.2 ล้านตัน ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลได้มีการจัดตั้งงบประมาณปี 2558 สำหรับงานก่อสร้างและซ่อมแซมถนน มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท สูงกว่างบประมาณปี 2557 ถึง 27% ซึ่งยังไม่นับรวมงบตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ ในส่วนนี้เป็นงบประมาณสำหรับการซ่อมและสร้างถนนทั่วประเทศวงเงิน 40,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณของกรมทางหลวง 25,000 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 15,000 ล้านบาท
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ปีนี้บริษัทเตรียมบุกตลาดในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียมากขึ้น หลังรัฐบาลอินโดนีเซียมีการประกาศแผนแม่บทกระตุ้นเศรษฐกิจ(โรดแมป) ผ่านการขยายเส้นทางคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นแผนระยะยาว ทำให้ความต้องการใช้ยางมะตอยเพิ่มขึ้น
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในปี 57 บริษัทขายยางมะตอยให้กับอินโดนีเซียจำนวน 2.2 แสนตัน ล่าสุดอยู่ในระหว่างเซ็นสัญญาขายยางมะตอยให้กับอินโดนีเซีย 1.4 แสนตัน และมั่นใจว่าในปีนี้ยอดขายในอินโดนีเซียจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการประเมินว่าความต้องการใช้ยางมะตอยในอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากปัจจุบันมีการใช้ยางมะตอยประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีโรงกลั่นยางมะตอยเพียงแห่งเดียว และมีกำลังการผลิตเพียง 4 แสนตันต่อปี และคาดว่าจะลดกำลังการผลิตลง 25% ในปีนี้
ขณะนี้ถือได้ว่า TASCO เป็นผู้นำตลาดยางมะตอยในภูมิภาคเอเชียรายหนึ่ง เพราะในช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้มีการลงนามในสัญญากับบริษัท SK Energy จำกัด ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในสิงคโปร์สัดส่วนน 50:50 เพื่อการดำเนินธุรกิจค้าขายยางมะตอยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2/58 ซึ่งทาง SK Energy เป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่สุดในเกาหลีใต้ มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 1.115 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งยังเป็นผู้ค้ายางมะตอยรายใหญ่ที่สุดของเอเชียด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี
“ประโยชน์จากการร่วมทุนครั้งนี้ จะทำให้สามารถประหยัดค่าระวางเรือในการขนส่งยางมะตอยเป็นอย่างมาก" นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/58 คาดกำไรดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4/57 ที่เป็นระดับสูงสุดรายไตรมาส หากราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวระดับต่ำราว 50-55 เหรียญฯ/บาร์เรล เพราะน้ำมันดิบถือเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักในการผลิตยางมะตอย บริษัทก็ยังจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เพราะราคาขายยางมะตอยไม่ได้ปรับลดลงมากเท่ากับน้ำมันดิบ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเร่งตัวขึ้น
หากราคาน้ำมันดิบอยู่ระดับต่ำต่อไปและราคาขายยางมะตอยไม่ได้ลดลงตามก็จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีต่อเนื่องทั้งปี โดยบริษัทมองว่าราคายางมะตอยในตลาดต่างประเทศน่าจะยังอยู่ระดับสูง โดยราคาที่สิงคโปร์อยู่ที่ 370 เหรียญฯ/ตัน และราคาในประเทศอยู่ที่ 17,000 บาท/ตัน เนื่องจากความต้องการสูงมาก ขณะที่ซัพพลายยังมีจำกัด ขณะที่เรือขนส่งมีน้อยและจำกัด ทำให้มองว่าราคายางมะตอยจะสูงกว่าปีก่อน
"ยอดขายต่างประเทศ 5 ประเทศหลัก จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และเวียดนาม เป็นยอดขายมากกว่า 80% ที่เหลือ 20 เป็นยอดขายในประเทศซึ่งปีนี้จะได้รับปัจจัยบวกจากงบประมาณการซ่อมและสร้างถนนเพิ่มเติมอีกวงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คาดว่ารัฐบาลจะเร่งให้ผู้รับเหมาฯเซ็นสัญญาภายในเดือนเม.ย.นี้ก็ทำให้ดีมานด์ยางมะตอยเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการปกติ คาดว่าจะสูงไปจนถึงเดือน ส.ค.ลูกค้าหลักยังต้องการใช้ต่อเนื่อง ซึ่งการปรับลดจีดีพีของไทยไม่กระทบต่อบริษัท แต่กลับส่งผลดีเพราะรัฐบาลจะเร่งใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจซ่อมสร้างถนน"นายชัยวัฒน์ กล่าวบริษัทตั้งงบลงทุนรวม 1,500 ล้านบาทในปีนี้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ โดยเฉพาะที่โรงกลั่น พร้อมทั้งสั่งซื้อเรือลำใหม่ 1 ลำดูขนาด 7,000-10,000 ตันอยู่ เพื่อรองรับแผนขยายตลาดต่างประเทศ จากปัจจุบันมีเรือขนส่ง 10 ลำเป็นของบริษัท 6 ลำ ของพันธมิตร 2 ลำ และเช่า 2 ลำ นอกจากนี้ จะซื้อรถขนส่งเพิ่มอีก 10 คันเพื่อขยายตลาดในประเทศตามยอดขายที่เติบโตขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะขายที่ดิน 3 แห่งรวม 30 กว่าไร่ใน จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (บางสะพาน) รวมทั้ง จ.สุราษฎร์ซึ่งมีโรงงานและที่ดินอยู่ 2 แห่ง คือ อ.พูนพิน และ อ.ท่าทอง ซึ่งจะมีการยุบรวมโรงงานให้เหลือที่ อ.ท่าทอง เพียงแห่งเดียว เพราะมีพื้นที่ใหญ่กว่า เพื่อให้ง่ายในการบริหารงาน
"ปีนี้จะไม่มีการลงทุนใหญ่เหมือนปี 57 ที่ลงทุน 1,800 ล้านบาทขยายกำลังการผลิต ส่วนปี 59 งบลงทุนก็จะลดลงอีกเพราะจะเน้นที่การ operation ให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุด"นายชัยวัฒน์ กล่าวปัจจุบัน TASCO มีกำลังการผลิตของโรงกลั่นอยู่ที่ 30,000 บาร์เรลต่อวัน หลังเพิ่มกำลังการผลิตเมื่อปีก่อนจากเดิม 25,000 บาร์เรลต่อวัน โดยขณะนี้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ 100% แล้ว และบริษัทยังจัดซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อส่งไปขายลูกค้าต่างประเทศอีกด้วย
"บริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพของบริษัทในการผลิตยางมะตอย เพื่อตอบสนองตลาด และให้บริการจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงตามเวลาและสอดคล้องกับแผนการทำงานของลูกค้า โดยบริษัทมีโรงงานผลิตและคลังเก็บยางมะตอยที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค พร้อมรถบรรทุกขนส่งยางมะตอยมากกว่า 300 คัน นอกจากนี้บริษัทมีโรงกลั่นยางมะตอยระดับมาตรฐานโลก ตั้งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมที่จะนำเข้าด้วยเรือขนส่งยางมะตอยขนาดใหญ่ของบริษัท เพื่อสร้างความมั่นใจในกรณีที่โรงกลั่นในประเทศเกิดวิกฤติไม่สามารถผลิตยางมะตอยได้เพียงพอ "นายชัยวัฒน์ กล่าว