อนึ่ง ล่าสุดบริษัทฯได้งานใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 100,000 ตัน ส่งผลให้มีงานรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องไปถึงปี 62 จากเดิมที่มีงานในมืออยู่แล้ว 150,000 ตันรับรู้รายได้ถึงปี 60
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/58 มีแนวโนมเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า และจะพลิกเป็นมีกำไรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายเพียง 47 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 18.70 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งออกเพียง 720 ตัน แต่คาดว่าไตรมาส 2 นี้จะสามารถส่งออกได้สูงถึง 10,000 ตัน ดังนั้น จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น
ทั้งปี 58 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตเป็นไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านเยน ขณะที่กำไรก็จะเติบโตในทิศทางเดียวกัน โดยมาจากงานในมือปัจจุบันที่มีอยู่ 2.5 แสนตัน ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 30% และจะรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 62 รวมถึงยังมีแผนจะเข้าประมูลงานใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น อย่างงาน Olympic ที่จะมีขึ้นในปี 63
ประกอบกับ บริษัทเตรียมขยายช่องทางการขายไปยังประเทศสหรัฐ จากที่ปัจจุบันมีการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นในสัดส่วนถึง 90% นอกจากนั้น ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 240,000 เยนต่อตัน ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน ขณะที่ราคาเหล็กจะอยู่ที่ 80,000-100,000 เยนต่อตัน ถือว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน และการส่งมอบงานบางโครงการที่มีความยากของงาน ทำให้มีราคาขายที่สูงกว่าราคาขายปกติ โดยปีนี้คาดว่าในส่วนของ MCS ประเทศไทย คาดว่าจะส่งออกประมาณ 40,000-45,000 ตัน
“เรามองว่าปีนี้จะเป็นปีที่สดใสของ MCS จากความต้องการใช้เหล็กที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของบริษัท ที่มีความต้องการสูงถึง 5 ล้านกว่าตันต่อปี ซึ่งกำลังการผลิตที่บริษัททำอยู่ในปัจจุบันยังไม่ถึง 1% ของกำลังการผลิตโดยรวม"ดร.ไนยวน กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่โรงงานที่อยุธยาประมาณ 70,000 ตันต่อปี โดยในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตโดยรวมประมาณ 40,000-45,000 ตัน ซึ่งบริษัทต้องสำรองไว้ในส่วนของการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมของลูกค้าอีกประมาณ 10,000 ตันต่อปี
สำหรับแผนการขยายการลงทุนนั้น โดยปกติแล้วทางบริษัทฯ จะตั้งงบประมาณเรื่องการลงทุนปรับปรุงโรงงาน หรือต่อเติมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องจักรใหม่ เพื่อเพิ่มการผลิต การขยายโรงงานเพิ่มเติม โดยใช้งบประมาณแต่ละปีไม่น้อยกว่าค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ของบริษัทฯ โดยในปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศ
ส่วนการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินเยนที่มีการอ่อนตัวนั้น ที่ผ่านมาบริษัทมีการสั่งซื้อเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักเป็นสกุลเงินเยนอยู่แล้ว จึงทำให้บริษัทฯสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินการในส่วนนี้ได้พอสมควร