ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร CI ที่ "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 26, 2015 16:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาปานกลางถึงสูงและรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากฐานรายได้ของบริษัทที่ค่อนข้างเล็ก รวมถึงผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างผันผวน และสัดส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการเงินเอาไว้ได้ในช่วงปี 2558-2560 และบริษัทน่าจะสามารถส่งมอบยอดขายที่ยังไม่ได้ส่งมอบได้ตามแผน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 65% ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน

บริษัทชาญอิสสระเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กที่ดำเนินโครงการภายในประเทศ บริษัทก่อตั้งในปี 2532 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 โดยมีครอบครัวอิสสระเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งด้วยสัดส่วนการถือหุ้น ณ เดือนมีนาคม 2558 จำนวน 47% สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทมีค่อนข้างหลากหลายซึ่งประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม วิลล่า บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเน้นตลาดระดับราคาปานกลางถึงสูง ทำเลที่ตั้งโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทอยู่ในกรุงเทพฯ และในจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ เดือนมีนาคม 2558 จำนวน 10 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายทั้งสิ้นประมาณ 5,500 ล้านบาท โดยเกือบ 85% ของมูลค่าดังกล่าวมาจากโครงการคอนโดมิเนียม และที่เหลืออยู่ในโครงการวิลล่า บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ บริษัทมียอดขายโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบในปัจจุบันจำนวน 3,500 ล้านบาท และมีแผนจะโอนที่อยู่อาศัยเกือบทั้งหมดให้แก่ลูกค้าจากยอดขายโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบเหล่านี้ในช่วงปี 2558-2559

นอกเหนือจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว บริษัทยังได้เริ่มพัฒนาโครงการโรงแรมบูติคหรูในชื่อ “ศรีพันวา" ที่จังหวัดภูเก็ตในปี 2549 ด้วย โรงแรมศรีพันวาจัดเป็นโรงแรมที่มีคุณภาพและบริการในระดับสูงและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่วิลล่าเพื่ออยู่อาศัยสำหรับขายภายในโครงการด้วย ในปี 2556 บริษัทได้ขายโรงแรมศรีพันวาให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (กองทุนฯ) และเช่ากลับจากกองทุนฯ เป็นระยะเวลา 15 ปีเพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม บริษัทยังได้ลงทุนในกองทุนฯ ในสัดส่วน 30% ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จำนวน 80-90 ล้านบาทต่อปีจากค่าเช่าและค่าบริการจากอาคารสำนักงานให้เช่าชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 และชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ด้วย

สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2557 ถึงไตรมาสแรกปี 2558 อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งเนื่องจากการโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมล่าช้า บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,593 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งที่ 2,000 ล้านบาท รายได้ที่รับรู้ในปี 2557 ส่วนใหญ่มาจากการโอนห้องชุดในโครงการ ดิ อิสสระ ลาดพร้าว และโครงการ บ้านทิวทะเล 1 รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2558 เท่ากับ 592 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการโอนห้องชุดในโครงการ บ้านทิวทะเล 1 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเท่ากับ 21.2%ในไตรมาสแรกของปี 2558 และ 10.6% ปี 2557 เพิ่มขึ้นจาก -8.7% ในปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวม (ปรับปรุงจากสัญญาเช่าโรงแรมศรีพันวา) ต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 53%-67% ในช่วงปี 2553-2557 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเท่ากับ 62% และคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงปี 2558-2560 เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการอีกหลายโครงการ

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างต่ำและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ -1.1% ในปี 2557 จาก 20% ในปี 2556 และจาก 15% ในปี 2555 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในปี 2555 เท่ากับ 15% หลังจากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการดิ อิสสระ ลาดพร้าว ในขณะที่การขายกิจการโรงแรมศรีพันวาเข้ากองทุนฯ ในเดือนสิงหาคม 2556 ช่วยทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 20% การลดลงของอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในปี 2557 มีสาเหตุเนื่องมาจากการโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมที่ล่าช้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวดีขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้าหลังจากที่บริษัทเริ่มโอนห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ

ในช่วงปี 2558-2560 ภายใต้สมมติฐานเบื้องต้นของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ในช่วง 2,500-3,500 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะรักษาระดับอยู่ที่ 12%-15% เนื่องจากบริษัทมีโครงการที่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างหลายโครงการจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 60%-65%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ