FETCO เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนช่วง 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 13, 2015 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO NIDA Investor Sentiment Index) ในเดือน ก.ค.58 ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ลงทุน 4 กลุ่มในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีต่อระดับดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าว่า “ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย" อันเนื่องมาจากนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก และสถานการณ์ต่างประเทศก็เป็นปัจจัยเชิงลบที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ในช่วงทรงตัว (Neutral)

ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือน ก.ย.58) อยู่ที่ 98.28 (ช่วงค่าดัชนี 0 - 200) เพิ่มขึ้น 11.48% จากดัชนีเดือนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 88.16 โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในช่วงทรงตัว

เมื่อพิจารณารายกลุ่มแล้ว พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อย กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ อยู่ในช่วงทรงตัว (Neutral) แต่ของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศอยู่ในช่วงซบเซา (Bearish) ส่วนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนสูงสุด แต่ยังอยู่ในช่วงทรงตัว (Neutral) ในขณะที่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศมีความเชื่อมั่นต่อทิศทางตลาดหุ้นลดลงมากที่สุดจนอยู่ในช่วงซบเซา

หมวดอุตสาหกรรม ที่น่าลงทุน มากที่สุด คือ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS) ส่วนหมวดอุตสาหกรรม ที่ไม่น่าลงทุน มากที่สุด คือ หมวดอุตสาหกรรมเหล็ก (STEEL)

ปัจจัยเชิงบวก ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยเชิงลบ ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ สถานการณ์ต่างประเทศ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนในครั้งนี้ พบว่ายังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้น เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดัชนีดาวโจนส์ การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หนี้เสียในกลุ่มประเทศยูโรโซน ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน และการแพร่ระบาดของโรคเมอร์ส (MERS) เป็นต้น

นางวรวรรณ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในช่วงแคบๆ ตามปัจจัยและข่าวที่เข้ามากระทบในทางลบมีมากกว่าปัจจัยบวก แต่ในระยะ 5 ปีตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้ แต่การเก็งกำไรระยะสั้นยังต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง

"ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังไปไหนไม่ได้เพราะยังมีข่าวร้ายเยอะ แต่ก็พร้อมจะขึ้นหากมีข่าวดีเข้ามา ตอนนี้หุ้นแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ หากยังไม่เก่งก็ให้รอไปก่อน แต่ถ้าใครมั่นใจก็ลงทุนได้ อย่างไรก็ตามหากลงทุนระยะยาวเราก็ถือว่าดี แต่ต้องถือยาวไว้ 5 ปี เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานที่ดีอยู่ ปัจจัยอื่นๆก็เป็นแค่ปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามากระทบเท่านั้น"นางวรวรรณ กล่าว

นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันยังถือว่าดี เพราะประชาชนยังมีเงินสดอยู่ในมือค่อนข้างมาก แต่ไม่กล้าที่จะนำเงินดังกล่าวมาจับจ่ายใช้สอย เพราะขาดความเชื่อมั่น แต่หากภาครัฐอัดฉีดเงินเข้าสู่รากหญ้าได้เร็วขึ้นก็จะช่วยให้ความเชื่อมั่นมีความเชื่อมั่นและจะกลับมาบริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาของกรีซ แม้หลายฝ่ายจะมองว่าสัดส่วนการส่งออกไปยังกรีซไม่มาก คงไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่อาจมีผลกระทบทางอ้อม หากกลุ่มยูโรโซนมีปัญหา ด้านตลาดหุ้นจีนที่ทรุดตัวลงหนักนั้น ไม่ใช่สถานการณ์ฟองสบู่แตก แต่เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายกระแสเงินทุนของต่างชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรงก็อาจเป็นเพียงแรงขายเทกำไรเท่านั้น เพราะหลังจากทรุดลงไปหนักก็ดีดกลับขึ้นมาได้ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังถือว่าค่อนข้างดี และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ FETCO มีความกังวลต่อสถานการณ์ที่ประเทศมหาอำนาจมีความขัดแย้งต่อกัน อาจจะส่งผลต่อการส่งออกของไทย โดยแนะนำว่าควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลควรวางบทบาทของไทยให้มีความเหมาะสม ยกตัวอย่าง การส่งตัวชาวอุยกูร์ให้กับจีน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจีน สหรัฐฯ และตุรกี

"ความกดดันที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศมหาอำนาจมากระทบกับประเทศไทยหลายระลอก ซึ่งจะกระทบต่อการค้าการลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเวทีต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีการชี้แจงให้นานาชาติเข้าใจ เพื่อที่จะไม่ให้ผลกระทบนั้นส่งผลมาถึงการค้าขายระหว่างประเทศของไทย" นางวรวรรณ กล่าว

นางอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)(SCBT) เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้นำยูโรโซนบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลกรีซในการแก้ไขหนี้กรีซว่า ถือเป็นข่าวดี จากที่เมื่อ 2 สัปดาห์ท่ผ่านมามีความกังวลเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะช่วยคลายความกังวลให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะจะส่งผลให้นักลงทุนกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปเองก็ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนค่อนข้างน้อย เห็นได้จากเมื่อครั้งที่ตลาดหุ้นจีนขึ้นไปถึง 150% ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจจีนก็ยังชะลอตัวลง ดังนั้นการส่งออกของไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ และหวังว่าตลาดหุ้นจีนจะเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยามากกว่า

ด้านเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% จากการส่งออกที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่จะเริ่มเห็นการใช้จ่ายออกมามากขึ้น โดยมองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ใกล้ 4% จากครึ่งปีแรกขยายตัวได้ในระดับที่ 3% ต้นๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ