ทั้งนี้ มองแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐฯยังมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิโครงการทำถนน โครงการปรับปรุงถนน โครงการวางท่อระบายน้ำ โดยบริษัทฯยังคงเดินหน้าติดตามโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลประกอบการในปีนี้ยอมรับว่ากำไรสุทธิอาจจะต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 155.24 ล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับงานใหม่เข้ามาจำนวนมาก แต่ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ที่อาจจะไม่ดีในปีนี้ ทำให้งานส่วนใหญ่ที่บริษัทรับมานั้นมีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ที่ไม่ดีนัก และการรับงานเข้ามามากทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเต็มจนไม่สามารถรับงานใหม่ๆ เข้ามาได้
"กำไรปีนี้ก็คงลดลงจากปีก่อน เพราะปีก่อนเราไม่รู้สถานการณ์จะเป็นแบบนี้ เราก็ไปเร่งๆรับงานมาไม่ได้คิดถึงมาร์จิ้นของงานว่าจะเป็นอย่างไร มาร์จิ้นจะมากจะน้อยเราก็รับมาหมด ทำให้มาร์จิ้นของเราต่ำ และกำลังการผลิตที่เต็มทำให้เราไม่สามารถรับงานใหม่ได้อีก"นายอาทิตย์ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังปรับลดเป้ารายได้ปี 58 เหลือเพียงใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2,662.56 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 10% เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้างของภาคเอกชนขนาดใหญ่ของภาคเอกชนมีการชะลอตัวไปอย่างต่อเนื่อง หลังภาวะเศรษฐกิจยังคงซบเซา ส่วนโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 59 คงไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) แล้ว 2,300 ล้านบาทที่รองรับรายได้ในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง
"จากเดิมเราเคยตั้งเป้ารายได้จะเติบโตถึง 10% แต่หลังจากที่สถานการณ์ต่างๆไม่ดีขึ้นอย่างที่เราคิดไว้ ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างโดยเฉพาะภาคเอกชนขนาดใหญ่ชะลอการลงทุนออกไป แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็ได้มีการปรับกลยุทธ์การรับงานที่มุ่งไปหาภาคเอกชนที่เป็นรายย่อยมากขึ้น สำหรับงานภาครัฐฯที่เป็นสัดส่วนของรายได้เราถึง 65% ในปัจจุบันก็ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะเรารับงานจาก อบต. อบจ.ที่มีงบประมาณในการลงทุนโครงการต่างๆได้อยู่แล้ว สำหรับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่มีความล่าช้าออกไปจะไม่กระทบกับเรา เพราะตั้งแต่แรกเราก็ไม่ได้รวมส่วนนี้เข้ามา หากได้มาก็เป็นเพียงส่วนเพิ่มเท่านั้น"นายอาทิตย์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก บริษัทก็ยังได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯได้ซื้อที่ดินที่เป็นแหล่งวัตถุดิบทราย แล้ว 2 แปลง ขนาดประมาณ 100 ไร่ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมเงินไว้อีกราว 100 ล้านบาท เพื่อพิจารณาซื้อที่ดินเพิ่มอีก 50-60 ไร่ รวมทั้งยังมีการลงทุนแท่นผลิตใหม่อีก 3 แท่น จากเดิมที่มี 12 แท่น ซึ่งจะช่วยให้กำลังการผลิตของบริษัทฯเพิ่มขึ้นอีก 25%
"ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนักเราก็ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินกิจการของเราให้ไปหาลูกค้ารายย่อยมากขึ้น แต่ยังไม่พอเท่านั้น เพราะเรายังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกเราซื้อที่ดินที่เป็นแหล่งวัตถุดิบทรายของเรา ที่จะรองรับการดำเนินกิจการของบริษัทฯได้อีก 6-7 ปี และก็มีการลงทุนแท่นผลิตใหม่ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 25% เพราะในธุรกิจวัสดุก่อสร้างนั้นขึ้นเร็วลงเร็ว เราจะมารอไม่ได้เวลาที่ไม่ดีเราก็ต้องประคองตัวให้ได้ แต่ช่วงฟื้นเราก็ต้องลุกให้เร็วกว่าคนอื่น ทำให้เราต้องมีการขยายอย่างต่อเนื่อง"นายอาทิตย์ กล่าว
นายอาทิตย์ กล่าวว่า บริษัทยังได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากขึ้น โดยร่วมมือกับพันธมิตรผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการระบบการบริหารจัดการธุรกิจก่อสร้างและร้านค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ Builk.com ซึ่งช่องทางธุรกิจก่อสร้างออนไลน์จะเป็นอีกช่องทางในการแนะนำผลิตภัณฑ์ของ CCP ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทด้วยเช่นกัน
เว็ปไซต์ Builk.com เป็นซอฟต์แวร์ฟรีในระบบ Cloud ที่ให้บริการกับผู้บริโภค-ผู้รับเหมา-เจ้าของ แบรนด์สินค้าเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างได้พบกัน โดยขณะนี้มีฐานผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ใช้งานของ BUILK อยู่แล้วมากกว่า 6,000 บริษัท โดยกว่า10%เป็นผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน จากจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างกว่า 80,000 บริษัททั่วประเทศไทย และยังมีกลุ่มนักออกแบบ และผู้รับเหมารายย่อยที่ต้องการหาสินค้าแบบราคาถูก และมีมาตรฐาน ก็สามารถใช้ระบบนี้ได้