(เพิ่มเติม) SCC คาดกำไรปีนี้ทำนิวไฮ ตามมาร์จิ้นปิโตรฯ,คงเป้ายอดขาย 4.87 แสนลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 29, 2015 17:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) คาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับผลดีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าปีนี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)ปิโตรเคมีเฉลี่ยอยู่ที่ 750 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีก่อน 682 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่บริษัทยังคงเป้ายอดขายปีนี้ที่ 4.87 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังยอดขายจะเติบโต และกำลังผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งความต้องการปูนซีเมนต์ที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงถึง 5-6% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0% หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณการพลิกกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/58 หลังจากหดตัวติดต่อกันมา 3 ไตรมาส จึงประเมินว่าทั้งปีนี้ความต้องการใช้ปูนจะเติบโตได้ราว 3%

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC คาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องและคาดว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้มาร์จิ้นของกลุ่มปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

"ธุรกิจเคมิคอลเป็นตัวที่ผลักดันกำไรของบริษัทในปีนี้ เพราะเสปรดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากตัว supply ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ผลักดันมาร์จิ้นของกลุ่มเคมิคอลเพิ่ม ก็ดูๆแล้วในอีก 4 ปีข้างหน้าก็ยังมี supply ใหม่ๆเข้ามาน้อย ประมาณ 3-4% ของทั้งโลก ก็ยังไม่มีผลมากนักที่ทำให้เสปรดปรับตัวลดลง ตอนนี้กลุ่มเคมิคอลก็มีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 50% ของทั้งกลุ่ม และมีสัดส่วนกำไรคิดเป็น 70-80% ของทั้งกลุ่ม"นายกานต์ กล่าว

อนึ่ง SCC มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 53 ที่ระดับ 3.74 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุดในช่วงครึ่งแรกปีนี้ บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้มากถึง 2.49 หมื่นล้านบาท

นายกานต์ กล่าวว่า ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3% จากปีที่แล้ว ลดลงจากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโตได้ราว 5-6% เนื่องจากช่วงครึ่งแรกปีนี้ความต้องการใช้ทรงตัวเป็นผลมาจากความต้องการปูนซิเมนต์เฉพาะภาคที่อยู่อาศัยติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 1/58 ติดลบ 7% และไตรมาส 2/58 ติดลบ 3% ส่วนความต้องการปูนซิเมนต์เฉพาะภาครัฐปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทั้ง 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 1/58 เพิ่มขึ้น 10% และไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้น 11% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาครัฐยังมีความต้องการใช้ปูนซิเมนต์อย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง แม้ว่าหลายโครงการอาจต้องเลื่อนไปลงทุนในปีหน้า แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อยอดขายปูนซิเมนต์ เพราะงานที่เลื่อนออกไปเป็นงานที่มีกำหนดใช้ปูนซิเมนต์ในปีหน้ามากกว่าปีนี้อยู่แล้ว

ขณะที่แนวโน้มความต้องการใช้ปูนซิเมนต์เฉพาะภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ อย่างเช่น การก่อสร้างโรงงาน อาคารพาณิชย์และคอมมูนิตี้มอลล์ พบว่ามีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 2/58 โดยกลับมาเติบโต 1% จากไตรมาส 1/58 ที่ติดลบ 6% หลังจากความมั่นใจเริ่มกลับมา และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น โดยบริษัทคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกจากโครงการภาครัฐที่เข้ามากระตุ้น ประกอบกับ การส่งออกในครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 34.5 บาท/ดอลลาร์นับว่าเป็นระดับที่เหมาะสม และหลายธุรกิจในแต่ละภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาล่วงหน้าของไตรมาส 4/58

สำหรับกำลังผลิตปูนซีเมนต์ในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ยอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในเดือน ส.ค.นี้จะเริ่มเดินสายการผลิตปูนซิเมนต์ของโรงงานที่ประเทศอินโดนีเซีย หลังจากโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 ในกัมพูชาเริ่มเดินสายการผลิตไปแล้วในครึ่งแรกปีนี้ ส่วนโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ที่เมียนมาร์คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 59 และโรงงานปูนซิเมนต์ในลาวคาดว่าจะเสร๊จในปี 60

พร้อมกันนี้ ยังเห็นว่าผู้ประกอบอื่นควรจะมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และจะทำให้บริษัทมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น เหมือนกับบริษัท ซึ่งในปีนี้ได้ตั้งเงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 4.89 พันล้านบาท โดยใช้ไปแล้วกว่า 1.4 พันล้านบาท ซึ่งรวมอยู่ในงบลงทุนของบริษัทปีนี้ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งแรกปีนี้ได้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 2.43 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ