ปัจจุบัน CEN ถือหุ้นใน RWI จำนวน 75% และถือหุ้นใน UWC ราว 57% นอกจากนี้ ยังมีบริษัทลูกอีกหลายบริษัท ได้แก่ เช่น บริษัท เอ็นเนอซอล จำกัด เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน ซึ่ง CEN ถือหุ้นราว 80% และกำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ,บริษัท ไปป์ ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ถือหุ้น 99.99% ซึ่งประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน , บริษัท เอชทีพี แอนด์ เซ็น คอร์เปอเรชั่น จำกัด ถือหุ้น 51% ประกอบธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งสินค้านวตกรรมไฮเทค และบริษัท ดับเบิ้ลยู เจ ซี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ถือหุ้น 94.25% ซึ่งประกอบธุรกิจงานบริการก่อสร้างงานโลหะ
"ปีนี้ UWC กำลังจะมาทั้งรายได้จากเสาส่งแรงสูงและธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะไปซื้อกิจการมาและมาปรับปรุง 2-3 เดือนก็จะรับรู้รายได้ทันที และ RWI จะดีมากได้ผลิตลวดใช้ในอินฟาสตรัคเจอร์ ของภาครัฐ ซึ่ง RWI กำลังเพิ่ม capacity กำลังลงเครื่องจักรใหม่ และเอ็นเนอซอล ผู้ผลิตไฟฟ้าโคเจนให้กับกลุ่มบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ขนาด 11 เมกะวัตต์ ซึ่งวันนี้เอสซีจีอยากจะให้เราขึ้นโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง โรงละ 5 เมกะวัตต์ รวม 15 เมกะวัตต์ เป็นถือว่าดีมากที่เราเป็นพันธมิตรกับ SCC ที่มีไอเดียดีมากเกี่ยวกับธุรกิจพลังงาน"นายวุฒิชัย กล่าวนายวุฒิชัย กล่าวว่า ในส่วนของ CEN ก็มองหาธุรกิจอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมองในธุรกิจทางด้านนวัตกรรม ในตลาดยุโรป ประเภทไฮเทคโนโลยีที่เกิดใหม่ ขณะเดียวกันยังมีบริษัทลูกอีกหลายบริษัทที่รับงานเกี่ยวเนื่องกับอินฟาสตรัคเจอร์ เจาะอุโมงค์ ในส่วนของเงินลงทุนบริษัทเตรียมไว้แล้วเป็นเงินจากการใช้สิทธิแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์) หรือจะออกวอร์แรนต์ใหม่ก็ได้
"เศรษฐกิจชะลอตัวก็กระทบ ที่ผ่านมาก็กระทบแต่แค่ช่วงสั้น แต่บริษัทก็มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมได้ ทั้งด้านเสาส่งไฟฟ้าที่จะไปเชื่อมโยงกับการไฟฟ้าฯที่จะต้องใช้เสา และตามแผนพลังงานจะดีเลย์ไม่ค่อยได้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็มีผล แต่กระทบเราน้อย"นายวุฒิชัย กล่าวนายวุฒิชัย กล่าวว่า สำหรับ บมจ.อีเอ็มซี (EMC) ที่ปัจจุบัน CEN ถือหุ้น 5% ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น เพราะมองว่าธุรกิจก่อสร้างยังคงเติบโตได้ อีกทั้งยังเกื้อหนุนกับธุรกิจที่กลุ่มบริษัทดำเนินการอยู่ด้วย