TUF คาดสรุปซื้อ Bumble Bee ตามเป้า ธ.ค.นี้ หลังขาย Chicken of the Sea

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 17, 2015 16:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)กล่าวว่า กรณีที่บริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจอาหารทะเลบรรจุภาชนะผนึกในสหรัฐภายใต้แบรนด์"Chicken of the Sea"ได้รับหมายเรียกจากกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Justice:DOJ) สั่งให้แจงข้อมูลเพื่อใช้ในการสอบสวนการกระทำต่างๆที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหารทะเลบรรจุภาชนะผนึกของสหรัฐฯ ตามกฎหมายว่าด้วยแข่งขันทางการค้า โดยขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายใน 4-6 สัปดาห์ และน่าจะสรุปแผนการเข้าซื้อกิจการ Bumble Bee ได้ในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ หลังจากที่กระทรวงยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบแล้ว บริษัทก็มีแผนจะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ทั้งหมด โดยหนึ่งในแผนดังกล่าวอาจจะมีการขาย Chicken of the Sea ออกไป คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4-6 สัปดาห์

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้ยังจะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีกำไร 5.09 พันล้านบาท โดยมองว่าครึ่งปีหลังกำไรน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ไว้ที่ 15-16% และอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 4.5% ขณะที่รายได้ปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปีก่อนอยู่ที่ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ช่วงครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานของบริษัทฯมีการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ก็คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับบริษัทฯได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า และราคาวัตถุดิบทูน่าที่มีการปรับขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว หรือมาอยู่ที่ระดับ 1,500 เหรียญสหรัฐฯ แต่มองว่าในช่วงปลายปีนี้น่าจะปรับตัวลง

นายธีรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ยังเป็นกังวลต่อการดำเนินธุรกิจ คือ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและอัตราแลกเปลี่ยน ถือว่ายังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันยังต้องติดตามสถานการณ์ปัญหาการค้าแรงงานและปัญหาการประมงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 12% ถือว่าดีมานด์ในประเทศมีการเติบโต เชื่อว่าปีนี้จะเห็นการเติบโตประมาณ 10%

"เราคาดว่าครึ่งปีหลังกำไรน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ โดยจะยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 15-16% และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิน่าจะสูงกว่า 4.5% ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้กำไรสุทธิจะทำนิวไฮได้ในปีนี้ ส่วนรายได้ยังคงเติบโตได้ 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่แผนการซื้อกิจการเรายังคงแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะสถานการณ์ช่วงนี้ที่ถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุน และเราก็มีความพร้อมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งสถานะทางการเงินเรามี D/E ลดลงเหลืออยู่ 0.68 เท่า จากเดิมที่อยู่ 0.8 เท่า"นายธีรพงศ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ