(เพิ่มเติม) TAKUNI สรุปลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 9.9 MW ราว 150-200 ลบ.ปีนี้,ถือหุ้น 55%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 8, 2015 14:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมสรุปการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างรอที่ปรึกษาทางการเงิน(FA)ประเมิณราคาและความคุ้มค่าในการเข้าลงทุน เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 55% ใช้งบลงทุนราว 150-200 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่เหลืออยู่ราว 100 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากเงินกู้สถาบันทางการเงิน เนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 0.4 เท่า

ขณะที่บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.4 พันล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตมากกว่า 100% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.18 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 35.76 ล้านบาท และแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากภาครัฐฯมีการปรับลดราคาขายก๊าซ LPG ลงมาให้สะท้อนราคาที่แท้จริง ทำให้ยอดขายปรับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานรับเหมาก่อสร้างคลังเก็บก๊าซในมือ (Backlog) มูลค่า 221 ล้านบาทที่จะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้ง บริษัท ซี เอ แซด ประเทศไทย จำกัด ที่ TAKUNI เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 47.72% มี Backlog ราว 435 ล้านบาท ที่จะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น

"ปีนี้เรายังมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.4 พันล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตกว่า 100% จากปีก่อน แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯจะมีรายได้เพียง 624.38 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามครึ่งปีหลังแนวโน้มผลประกอบการทั้งในแง่รายได้และกำไรของเราก็คงจะดีกว่าครึ่งปีแรก หลังราคา LPG ลดลง ทำให้แนวโน้มความต้องการใช้จะปรับตัวสูงขึ้น และเรายังมีงานเหมาในมือที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้อีก ซึ่งงานในส่วนนี้มีมาจิ้นสูงกว่ารายได้จากการขาย LPG"นางสาวนิตา กล่าว

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในครึ่งปีหลังนั้น รายได้ที่มาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างคลังเก็บก๊าซนั้นน่ามีจะสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ในปีก่อนหน้า น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคิดเป็น 12-15% ของรายได้ทั้งหมด ทำให้สัดส่วนจากการขายก๊าซแอลพีจี (LPG) ซึ่งเป็นรายได้หลักปรับลดลงจากเดิมที่มากกว่า 85-90% มาเหลือราว 78-80% และที่เหลือจะมาจากรายได้อื่นๆ

"รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนั้น รายได้หลักยังคงมาจากการขายก๊าซแอลพีจี ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ แต่ในส่วนของรายได้ที่มาจากการก่อสร้างคลังเก็บก๊าซที่เพิ่มเข้ามานั้น เป็นรายได้ที่เสริมให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างนั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ราว 15-18% ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายก๊าซแอลพีจีที่เฉลี่ยอยู่ที่ 5-6%"นางสาวนิตา กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ