(เพิ่มเติม) "เจเอเอส แอสเซ็ท"คาดเคาะราคา IPO ต.ค.นี้ ก่อนเข้าเทรดใน Q4/58

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 21, 2015 13:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท คาดว่าจะกำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ในเดือนต.ค. เพื่อระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายได้ในไตรมาส 4/58 เพื่อนำเงินไปใช้ขยายงานการบริหารพื้นที่ให้เช่าทั้งในศูนย์การค้า รวมทั้งในลักษณะตลาดชุมชน และศูนย์การค้าชุมชนเพิ่มเติม และแบ่งส่วนหนึ่งมาลดเงินกู้ระยะยาวที่มีอยู่ 600 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโต 20% จากราว 450 ล้านบาทในปีก่อน

ทั้งนี้ เจเอเอส แอสเซ็ท เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) ทำธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าศูนย์รวมจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในรูปแบบ IT Junction และมีการดำเนินธุรกิจตลาด J Martket และทำโครงการ The JAS Community Mall

นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจเอเอส แอสเซ็ทฯ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120.39 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น แบ่งเป็นเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้น JMART จำนวนไม่เกิน 48.156 ล้านหุ้น หรือ 40% ของหุ้นที่เสนอขาย และเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวนไม่น้อยกว่า 72.234 ล้านหุ้น คาดว่าจะสามารถกำหนดราคาขายหุ้น IPO ได้ในเดือนต.ค.58 และน่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) ได้ภายในไตรมาส 4/58 โดยได้แต่งตั้งบล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วน ซึ่งบริษัทมีหนี้ระยะยาวจำนวน 600 ล้านบาท และใช้การขยายธุรกิจ แบ่งเป็นธุรกิจการบริหารพื้นที่เช่า ภายใต้ศูนย์การค้าประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าเทคโนโลยีเพื่อนำมาจัดสรร และให้เช่าต่อผู้ประกอบการภายใต้ชื่อ IT Junction ซึ่งตั้งเป้าจะเปิดปีละ 8-10 สาขา ใช้เงินลงทุนรวม 20 ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปี 58 จะมีทั้งสิ้น 51 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 43 สาขา และการพัฒนา บริหารพื้นที่ในรูปแบบตลาดชุมชน ภายใต้ชื่อ J Market ตั้งเป้าเปิดปีละ 1-2 สาขา ใช้เงินลงทุนรวม 50 ล้านบาท คาดสิ้นปีนี้จะมีทั้งหมด 4 สาขา และการพัฒนา บริหารพื้นที่แบบศูนย์การค้าชุมชนภายใต้ชื่อ The Jas เปิดปีละ 1 สาขา ใช้เงินลงทุน 600 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 58 จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 450 ล้านบาท เป็นผลจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น รวมถึงได้ปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่ในส่วนของสาขาวังหิน ขณะที่บริษัทฯจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ให้อยู่ระดับ 30% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ 15%

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจากธุรกิจการบริหารพื้นที่เช่า IT Junction ราว 80%, ธุรกิจการพัฒนา และบริหารพื้นที่ในรูปแบบตลาดชุมชน J Market จำนวน 5% และธุรกิจพัฒนา และบริหารพื้นที่ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน The Jas จำนวน 15% โดยมองว่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 3-4 ปี จะมีสัดส่วนจากธูรกิจดังกล่าวเป็น 60%,20%,20% ตามลำดับ เป็นไปตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น นางนงลักษณ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทถือว่ายังเป็นผู้นำในตลาด เนื่องจากเป็นรายแรกและรายเดียวที่มีการทำธุรกิจพัฒนา และบริหารพื้นที่เช่าทั้ง 3 ด้าน โดยปัจจุบันมีลูกค้ารายย่อยที่เข้ามาเช่าพื้นที่แล้วราว 1,000 ราย มีการทำสัญญาเช่าระยะยาว และมีอัตราการเช่าพื้นที่ 89% ของพื้นที่ทั้งหมด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ