ทริสฯ เพิ่มเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ BH เป็น“A+" จาก“A" แนวโน้ม“Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 23, 2015 13:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) เป็นระดับ “A+" จากเดิมที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" สืบเนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอัตราการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัท ในขณะที่การก่อหนี้ของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำแม้จะมีการขยายการลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่ตามแผนก็ตาม ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยตลอดจนตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากข้อจำกัดจากการมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียว รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพในประเทศและต่างประเทศ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายที่บริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในประเทศเอาไว้ได้และคงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไป โดยปริมาณเงินสดคงเหลือที่ค่อนข้างมากและกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจะช่วยให้บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจในอนาคต เมื่อพิจารณาแผนการลงทุนของบริษัทแล้วทริสเรทติ้งเห็นว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่ควรจะเพิ่มขึ้นจากระดับการก่อหนี้ในปัจจุบัน

อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการกระจายพอร์ตธุรกิจของบริษัทในขณะที่ยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมากจากระดับปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานและสภาพคล่องของบริษัทลดลงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน

บริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ดำเนินกิจการโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" บริษัทเป็นผู้นำในการให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนของประเทศและในภูมิภาคเอเชีย โดยโรงพยาบาลของบริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 6,220 คนต่อวัน และมีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยในทั้งหมด 676 เตียง (รวมโรงพยาบาล Ulaanbaatar Songdo ในมองโกเลีย) บริษัทเน้นให้บริการระดับตติยภูมิกับผู้ป่วย โดยในแต่ละปีบริษัทมีจำนวนผู้ป่วยชาวต่างประเทศมากกว่า 50% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่เข้ารับบริการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองคิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้รวมอีกด้วย

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักและผลงานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับมานานกว่า 30 ปี บริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีรายได้สูงโดยใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างด้านบริการและคุณภาพ บริษัทมีความสามารถในการสร้างรายต่อผู้ป่วย 1 รายที่แข็งแกร่งมากซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีคุณภาพเอาไว้

บริษัทมีสัดส่วนผู้ป่วยที่มาจากภูมิภาคตะวันออกกลางสูงที่สุดจากจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติทั้งหมด โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติประมาณ 60%-65% ของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้ สัดส่วนจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่อยู่ในระดับสูงทำให้ฐานรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยต่างชาติมีระยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่นานกว่าและมีความซับซ้อนของโรคที่สูงกว่า นอกจากนี้ การรับผู้ป่วยที่มีสัญชาติหลากหลายยังช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงอุปสงค์ด้านการบริการสุขภาพภายในประเทศลงด้วย

โครงสร้างทางการเงินของบริษัทได้รับประโยชน์จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้และความสามารถในการทำกำไร กล่าวคือ รายได้ของบริษัทมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 9,201 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 15,630 ล้านบาทในปี 2557 สาเหตุหลักมาจากการมีจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและการขึ้นราคาค่าบริการ นอกจากนี้ ยังมาจากความซับซ้อนและความรุนแรงของโรคด้วย อัตรากำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจาก 23.5% ในปี 2553 เป็น 28% ในปี 2557 และ 31% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ดังนั้น บริษัทจึงมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ดีขึ้นจากระดับ 2,404 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 4,605 ล้านบาทในปี 2557

ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 จำนวนผู้ป่วยชาวไทยลดลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยชาวไทยจะลดลงแต่รายได้ของบริษัทยังคงเติบโตจากการมีจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 5,719 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยทั้งประเภทผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 นั้นอยู่ที่ระดับ 3,028 ล้านบาท เติบโตขึ้นเพียง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยรายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างน้อย 10% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรงโดยเฉลี่ยที่ประมาณหรือมากกว่า 28%-30%

บริษัทอยู่ในช่วงของการขยายธุรกิจโดยยังคงเน้นตลาดบริการสุขภาพระดับบน บริษัทได้ซื้อที่ดิน 2 แปลงบนถนนเพชรบุรีและถนนสุขุมวิท ซอย 1 ใกล้กับโรงพยาบาลเดิมเพื่อใช้รองรับการขยายโรงพยาบาลในอนาคต โดยบริษัทมีแผนจะก่อสร้างโรงพยาบาลขนาด 200 เตียงบนที่ดินที่ถนนเพชรบุรีด้วยมูลค่าการลงทุน 8,200 ล้านบาทซึ่งไม่รวมราคาที่ดิน ปัจจุบันโครงการบนถนนเพชรบุรีผ่านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้วเมื่อเดือนมกราคม 2558 โดยการก่อสร้างโครงการจะเริ่มในช่วงไตรมาสที่1 ของปี 2559 และจะแล้วเสร็จในปลายปี 2561 ที่ดินแปลงที่อยู่บนถนนสุขุมวิท ซอย 1 ดังกล่าวจะพัฒนาเป็น 3 อาคาร โดย 1 อาคารจะเป็นที่จอดรถด้วยมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 2,200 ล้านบาท ดังนั้น ในช่วงปี 2558-2561 บริษัทจะมีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาปีละประมาณ 1,000-1,300 ล้านบาท)

บริษัทมีสภาพคล่องค่อนข้างแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีปริมาณเงินสดคงเหลือและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 7,236 ล้านบาท ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอยู่ในระดับที่เข้มแข็งและคาดว่าจะอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ภาระหนี้สินรวมของบริษัทมีเพียงหุ้นกู้ระยะยาวจำนวน 5,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 29.80% ด้วยปริมาณเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจึงคาดว่าจะเพียงพอที่จะรองรับแผนการลงทุนของบริษัทในอนาคตในช่วงปี 2558-2561 ได้ ดังนั้น อัตราการก่อหนี้ของบริษัทจึงไม่ควรลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ