ทริสฯ คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ IVL ที่ "A+" หุ้นกู้ด้อยสิทธิ "A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 19, 2015 17:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส(IVL) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ “A-" โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 2 ขั้นสะท้อนถึงลักษณะการด้อยสิทธิและความเสี่ยงที่ผู้ถือตราสารอาจถูกเลื่อนนัดการชำระดอกเบี้ยของตราสารดังกล่าวได้

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ IVL สะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ ตลอดจนความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต การผลิตที่มีประสิทธิภาพจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) และการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารรวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนอุปทานส่วนเกินจากกำลังการผลิตใหม่ของกรดเทอเรฟธาลลิกบริสุทธิ์ (Purified Terephthalic Acid – PTA) ในเอเซียและความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไรของบริษัท ในขณะที่แผนการลงทุนของบริษัทซึ่งส่วนใหญ่ใช้เงินทุนจากการกู้ยืมได้ลดทอนฐานะการเงินของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงสมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าอัตรากำไรของอุตสาหกรรมจะ ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรองรับความผันผวนที่เกิดจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ ภาวะขาลงของอุตสาหกรรมที่ยังคงดำเนินต่อไปจนส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทต่ำกว่า 15% อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ การที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอัตราส่วนเงินทุนต่อการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง

บริษัทก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนและได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ปัจจุบันกลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 66.4% บริษัทลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เป็นหลัก โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 8.5 ล้านตันต่อปี โดยประมาณ 49% เป็นกำลังการผลิตของโพลีเอธิลีน เทอเรฟธาลเลท (Polyethylene Terephthalate – PET) 27% เป็น PTA 18% เป็นกำลังการผลิตเทียบเท่าเส้นใย โพลีเอสเตอร์ และอีก 6% เป็นกำลังการผลิตเทียบเท่าโมโนเอธิลลีนไกลคอล (Monoethylene Glycol – MEG) ในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์นั้น PTA และ MEG ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิต PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์

ณ เดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีฐานการผลิตกระจายอยู่ใน 19 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป ได้แก่ เอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาฟริกา โดยรูปแบบธุรกิจของบริษัทเป็นการผลิตแบบครบวงจร และมีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ซึ่งรูปแบบธุรกิจนี้น่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขันตลอดจนบรรเทาความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการกีดกันทางการค้าได้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทได้ซื้อกิจการ 4 แห่งมูลค่ารวมประมาณ 16,000 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 7.5 ล้านตันในปี 2557 เป็น 8.5 ล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 การซื้อกิจการในครั้งนี้ประกอบด้วยการซื้อโรงงานผลิตเส้นใยชนิดพิเศษในประเทศจีน โรงงาน PET ในประเทศตุรกีและประเทศไทย รวมถึงโรงงาน PTA ในประเทศแคนาดา

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้ 114,886 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าโดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ว่าบริษัทจะมีปริมาณขายเพิ่มขึ้นก็ไม่สามารถชดเชยกับราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงได้ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2556 เป็น 8.1% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 โดยส่วนหนึ่งสะท้อนอัตรากำไรของ PTA ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้นและการมีสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Added --- HVA) ที่มากขึ้น โดยบริษัทมีการผลิต HVA เพิ่มขึ้นจาก 19% ของการผลิตรวมในปี 2556 เป็นประมาณ 22% สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558

ในส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันของการผลิตนั้นเพิ่มขึ้นจาก 79 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2557 เป็น 96 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 โดยบริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 8,942 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 5.1 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินกู้รวมซึ่งปรับปรุงด้วยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (เงินกู้รวมปรับปรุงแล้ว) จำนวน 86,468 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 54.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะมีเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจากแผนการซื้อกิจการ โดยประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงงบประมาณการซื้อกิจการและแผนการลงทุนของบริษัทรวมประมาณ 117,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายในระหว่างปี 2558-2561 โดยบริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตของโรงงานเดิมรวมถึงพัฒนากำลังการผลิต HVA ของบริษัท ซึ่งงบประมาณการซื้อกิจการนั้นรวมถึงการซื้อกิจการมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาทที่เสร็จสิ้นไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 และการประกาศซื้อโรงแยกก๊าซอีเทน ขนาดกำลังผลิต 0.4 ล้านตันต่อปีในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยแผนลงทุนข้างต้นจะทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 8.5 ล้านตันต่อปีเป็น 11.8 ล้านตันต่อปีในปี 2561 และกำลังการผลิตในส่วนของ HVA ก็จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 22% ของการผลิตรวมของบริษัทเป็น 24%-25% ในปี 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแผนจัดการภาระหนี้เพื่อรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท จากสมมติฐานการเพิ่มสัดส่วนการผลิต HVA รวมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรรม

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตรากำไร EBITDA ต่อตันของบริษัทจะมากกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยมีเงินทุนจากการดำเนินงานมากกว่า 20,000 ล้านบาทในปี 2559 และเพิ่มขึ้นในปีถัดไปจากอัตรากำไรและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับดังกล่าวเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในปี 2559 จำนวน 10,000 ล้านบาทและในปี 2560-2561 จำนวน 13,000-14,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับปรุงแล้วอยู่ในช่วง 15%-23% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ