PTT เซ็น MOU ปิโตรนาส นำเข้า LNG ราว 1 ล้านตัน/ปี รองรับดีมานด์เพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 20, 2015 12:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ปตท.เตรียมที่จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) จากปิโตรนาส ของมาเลเซีย ราว 1 ล้านตัน/ปี เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะที่ยังมองการก่อสร้างคลัง LNG และเจ้าของโครงข่ายท่อส่งก๊าซฯควรเป็นผู้ประกอบการรายเดียว เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
"ปตท.เพิ่งทำเอ็มโอยูกับปิโตรนาสเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนำเข้า LNG ปีละ 1 ล้านตัน เป็น Head of Agreement แล้วมาเจรจารายละเอียด แต่พอเรื่องเรียบร้อยแล้วก็จะเอาเข้ากพช."นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การซื้อ LNG ระยะยาวควรจะมีสัดส่วนราว 60-70% ส่วนที่เหลือเป็นการซื้อจากตลาดจร (spot) โดยปัจจุบันปตท.นำเข้า LNG ตามสัญญาระยะยาวจากการ์ต้าจำนวน 2 ล้านตัน/ปี และล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)เพิ่งเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขาย LNG กับ Shell Eastern Trading (PTE) LTD และ บริษัท BP Singapore PTE. Limited ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวในปริมาณรายละ 1 ล้านตัน/ปี รวม 2 ล้านตัน/ปี

ขณะที่ปตท.อยู่ระหว่างการทำโครงการ LNG Receiving Terminal ระยะที่ 2 ในพื้นที่เดียวกับระยะแรก ที่มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต LNG เป็น 10 ล้านตัน/ปี เทียบเท่าปริมาณก๊าซธรรมชาติ 1,400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันในปี 60 จากปัจจุบันผลิตในระดับ 5 ล้านตัน/ปี เทียบเท่าปริมาณก๊าซธรรมชาติ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน

นอกจากนี้ปตท.ยังมีแผนที่จะสร้างคลัง LNG ระยะที่ 3 เพิ่มเติมอีก 5 ล้านตัน/ปี แต่ล่าสุดทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ให้ความสนใจที่จะก่อสร้างคลัง LNG ดังกล่าวเพื่อป้อนก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าของกฟผ. ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มอบหมายให้กฟผ.ศึกษาเรื่องดังกล่าวก่อน แต่ในเบื้องต้นเห็นว่าตามหลักการของการจัดทำโครงข่ายด้านพลังงาน สำหรับประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเช่นประเทศไทย ควรมีเจ้าของเป็นผู้ประกอบการรายเดียวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งแม้มีโครงข่ายเพียงรายเดียว แต่ก็ให้มีการแข่งขันเพื่อลดการผูกขาด ด้วยการเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจี (Third Party Access; TPA) ได้

"การจะให้มีเจ้าของโครงข่ายอีก 1 รายไม่มีความจำเป็น เพราะจะทำให้การวางแผนและระบบก๊าซฯไม่มีความมั่นคงมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะสิ่งสำคัญการมีโครงข่ายก๊าซฯก็เพื่อให้มีก๊าซฯเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ เพียงแต่ผู้ใช้มีทางเลือกที่จะซื้อก๊าซฯจากผู้จำหน่ายรายอื่นได้"นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

นายปิยสวัสดิ์ เห็นว่าการนำก๊าซฯเข้าระบบท่อส่งก๊าซฯที่ปัจจุบันมีปตท.เป็นเจ้าของเพียงรายเดียวนั้น จะไม่เกิดความวุ่นวายและจะยังเป็นการกระจายความเสี่ยง หากผู้จัดหาและเจ้าของคลังรายอื่นหา LNG ไม่ได้และราคา LNG ที่ซื้อจากตลาดจรก็อาจมีราคาสูงมาก จนส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที)ในอนาคต ซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในที่สุด

อย่างไรก็ตามการที่ทิศทางราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำขณะนี้ ยังเป็นโอกาสในการจัดหา LNG ตามสัญญาระยะยาวในราคาที่ดีด้วย และเป็นโอกาสสำหรับประเทศที่นำเข้าพลังงานอย่างไทย ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงของระบบพลังงาน ขณะที่การบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียม 2 แหล่งคือ แหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ที่จะหมดอายุสัญญาในปี 65-66 นั้นรัฐบาลควรจะมีข้อสรุปที่ออกมาชัดเจน ซึ่งหากไม่มีความชัดเจนออกมาเลย ก็จะทำให้ผู้ผลิตที่ได้รับสัมปทานนั้นจะลดการผลิตลง ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดการนำเข้า LNG มากขึ้นในอนาคตและจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น

ส่วนการแยกธุรกิจท่อส่งก๊าซฯของปตท.ออกมาเป็นบริษัทใหม่นั้น ยังไม่คืบหน้า หลังยังต้องรอความชัดเจนจากศาลฯ แม้ก่อนหน้านี้ศาลปกครองได้ออกมายืนยันปตท.ได้คืนท่อส่งก๊าซฯตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว แต่ยังมีผู้ไปยื่นเรื่องต่อศาลฯอีกครั้ง และทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)อยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ