(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวในลักษณะ Wait & See รอดูผลประชุม ECB และเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 22, 2015 09:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวออกด้านข้าง โดยในช่วงเช้าดัชนีฯคงจะปรับตัวลงก่อนและมีการรีบาวน์ในระหว่างทางได้ เนื่องจากตลาดฯคงจะเป็นลักษณะ Wait & See โดยต่างจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ว่าจะมีสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินหรือไม่ ถ้ามีก็จะมาช่วยกระตุ้นตลาดฯได้ แต่ตอนนี้ก็เชื่อว่าจะไม่น่าจะมีอะไร

นอกจากนี้ ต่างก็ยังรอการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในสัปดาห์หน้า ดังนั้นวันนี้หุ้นขนาดเล็กก็คงจะเด่นกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยอาจมีการเล่นเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีผลกำไรออกมาดี

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,409 จุด ส่วนแนวต้าน 1,426 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(21 ต.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,168.61 จุด ลดลง 48.50 จุด(-0.28%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,840.12 จุด ลดลง 40.85 จุด(-0.84%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,018.94 จุด ลดลง 11.83 จุด(-0.58%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 110.59 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 28.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 193.64 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 8.83 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 2.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.70 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 5.42 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(21 ต.ค.58)1,415.80 ลดลง 2.83 จุด(-0.20%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 30.07 จุด เมื่อวันที่ 21 ต.ค.58
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(21 ต.ค.58) ปิดที่ 45.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 2.4%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(21 ต.ค.58)ที่ 5.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิดวันนี้ 35.63 ยังอ่อนค่าต่อตามภูมิภาคตามแรงซื้อดอลล์-รอผล ECB วันนี้
  • นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในปี 2559 คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในระดับ 3.6-3.7% เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐด้วยการเติมเงินในระดับฐานรากผ่านโครงการกองทุนหมู่บ้าน การเร่งลงทุนภาครัฐ การส่งออกไปสหรัฐเริ่มดีขึ้น การท่องเที่ยวที่เติบโตสูง ขณะที่ปีนี้มองว่าจะขยายตัวได้ 2.7% ตามเป้าที่กำหนดไว้
  • ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดว่า หลายประเทศในเอเชียกำลังเสี่ยงต่อภาวะตำแหน่งงานที่จะหายไป เนื่องจากพัฒนาการของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (โรบอต) การพิมพ์ 3 มิติ และเครือข่าย คลาวด์ คอมพิวติ้ง จะเข้ามาแทนที่และแย่งงานของคนเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่เสี่ยงมากสุดเป็นอันดับ 2
  • 'ออมสิน' สั่ง ร.ฟ.ท.เร่งเดินหน้ารถไฟทางคู่ระยะที่ 2 รวม 6 เส้นทาง วงเงิน 1 แสนล้านบาท เปิดทางเอกชนร่วมลงทุนเพื่อให้รวดเร็ว ประมูลปี'60 สร้าง 3 ปีเสร็จ พร้อมสนองนโยบายรัฐบาลหาพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย คาดเชียงรากน้อยเหมาะสมสุด สัปดาห์หน้าสรุปผลชัดเจน
  • นายสมบูรณ์ หอตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม เผยสถานการณ์การส่งออกสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ของปีนี้ มีมูลค่า 35,776 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 1.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากตลาดหลักที่ ส่งออก อย่างสหภาพยุโรป อียู) ญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวนักมีสัดส่วนตลาดรวมกัน 23% แม้ว่าตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนส่งออก 18.85% อาเซียนมีสัดส่วน 18.33% และจีนมีสัดส่วน 8.87% จะขยายตัวก็ยังดึงส่งออกไม่ได้นัก โดยสินค้าที่ส่งออกลดลง เช่น อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ส่วนแนวโน้มการส่งออกทั้งปีนี้ของสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์คาดมีมูลค่า 54,039 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 3% ตามเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก เช่น อียู ญี่ปุ่น ที่ยังไม่ฟื้นตัว

*หุ้นเด่นวันนี้

  • SYNTEC (เคเคเทรด)เป้า 4 บาท คาดผลประกอบการ 3Q58 เติบโตดี (+13%QoQ, +1% YoY), Valuation ไม่แพง ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 11 เท่า ถูกกว่าหุ้นรับเหมาฯขนาดใหญ่ที่เทรดบริเวณ 20-30 เท่า
  • AP(ธนชาต)"ซื้อ"เป้า 8 บาท ซื้อขายที่ระดับ PE ที่ต่ำสุดของกลุ่มฯ ที่ 6.7 เท่า และ PBV ที่ 1.0 เท่า ซึ่งเชื่อสมควรที่ราคาหุ้นจะได้รับการ re-rating จากการมียอด presales ที่โดดเด่น ซึ่งน่าจะทำให้ปีนี้มียอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะมี EPS เติบโตมากกว่ากลุ่มฯ ในปี 2016-17F ผลักดันโดยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน
  • SAT (ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้าปีหน้า 20.40 บาท คาดกำไรสุทธิ 3Q15 โตแรง 1.5 เท่าทั้ง Q-Q และ Y-Y จากยอดส่งออกรถที่เติบโตแรงหลังผ่านช่วงเปลี่ยนรุ่นกระบะโตโยต้าจากวีโก้เป็นรีโว่แล้ว แม้กำไรทั้งปีน่าจะลดลง 7% Y-Y แต่คาดกำไรปี 2016 โต 20% Y-Y สวนทางอุตสาหกรรมที่ยังฟื้นไม่เต็มที่ ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE 2015-16 ที่ 12 และ 10 เท่า ถูกมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 15 เท่า ขณะที่การผลิตชิ้นส่วนรถแทรคเตอร์และรถบรรทุกที่มีต่อเนื่องต่อไปข้างหน้าเป็นตัวจำกัด downside ของธุรกิจของ SAT
  • BAY(แอพเพิล เวลธ์)"ซื้อ"ปรับเป้าขึ้นเป็น 39 บาท แม้สินเชื่อจะไม่ขยายตัวแต่รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงเติบโตได้โดยไม่มีปัญหาการเพิ่ม Provision จาก NPL ที่เพิ่มขึ้นเทียบกับธนาคารอื่น ๆ ปรับประมาณกำไรสุทธิปี 58 ขึ้นจาก 1.6 หมื่นลบ. เป็น 1.8 หมื่นลบ.
  • KOOL(ทรีนีตี้)ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแรงเมื่อวานนี้จนทำให้ล่าสุดมีแนวโน้มที่จะเข้าข่ายเป็นหุ้นที่จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance ในช่วง 6 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งอาจจะส่งผล Sentiment เชิงลบต่อราคาหุ้นในช่วงสั้นได้ อย่างไรก็ดีหากราคาหุ้นปรับตัวลงเพียงเพราะปัจจัยดังกล่าว มองเป็นโอกาสที่ดีในการ “ซื้อ" อีกครั้ง(ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท) เนื่องจากมองเป็นหุ้น High growth ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรโดดเด่นถึงปีละ 50% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ