ทั้งนี้ TCOCO ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้ภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า (Original Equipment Manufacturer หรือ OEM)เป็นหลัก และภายใต้ตราสินค้าของบริษัท“Thai Coco"โดยมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของลูกค้าและตราสินค้าของบริษัทในสัดส่วนประมาณ 97-99% และ 1-3% ของรายได้จากการขายสินค้า ตามลำดับ เพื่อการส่งออกในต่างประเทศที่มีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมทั้งมีการจำหน่ายภายในประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าในจังหวัดราชบุรี มีกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 142,000 ตันต่อปี และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดได้ประมาณ 59,000 ตันต่อปี ลักษณะสินค้าแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำกะทิ (Coconut Cream หรือ Coconut Milk) กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว(Coconut Water ) และกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น น้ำผลไม้ แยมผลไม้ และมะพร้าวฝอยอบแห้ง เป็นต้น
ช่วงครึ่งแรกของปี 58 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,454.22 ล้านบาท หนี้สินรวม 744.92 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 709.31 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 1,172.22 ล้านบาท กำไรสุทธิ 169.85 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.58 บริษัทมีหนี้สินรวม 754 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น สัดส่วนประมาณ 23-49% ของหนี้สินรวม เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 27-52% และเงินกู้ยืนระยะยาวจากสถาบันการเงิน 13-42%
ส่วนผลประกอบการทั้งปี 57 บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,113.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 264.81 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 0.66 เท่า
และ ณ วันที่ 18 ส.ค.58 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 550 ล้านบาท ทุนที่เรียกชำระแล้ว 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วบริษัทจะมีทุนชำระเพิ่มเป็น 550 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท 3 อันดับแรก ณ วันที่ 18 ส.ค.58 ประกอบด้วย นางสาวชัญญา ธนศักดิภัทร ถือหุ้น 317,998,600 หุ้นหรือคิดเป็น 39.75% หลังขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนถือหุ้นลงเหลือ 28.91%, นางบุษรา พินเจริญ ถือหุ้น 262,500,000 หุ้นหรือคิดเป็น 32.81% จะลดลงเหลือ 23.86% และนางสาวเกษร ทรายคำ ถือหุ้น 218,500,000 หุ้นหรือคิดเป็น 27.31% จะลดลงเหลือ 19.86%
ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคลของงบการเงินเฉพาะของบริษัท และบริษัทย่อย ตามลำดับ และหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่น ๆ ตามที่บริษัทกำหนด