"ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์"โรดโชว์ 4 จว.ใน พ.ย.ก่อนขาย IPO เข้าเทรดปลายปี 58

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 5, 2015 11:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะนำ TACC เดินสายนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนรายย่อยเพื่อให้นักลงทุนรู้จักและเข้าใจพื้นฐานธุรกิจของบริษัทมากยิ่งขึ้น ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 168 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปลายปี 58

ทั้งนี้ การโรดโชว์จะมีขึ้นใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ขอนแก่น ในวันที่ 6 พ.ย., อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันที่ 9 พ.ย., จ.เชียงใหม่ 10 พ.ย. และปิดท้ายที่ กรุงเทพฯ ในวันที่ 20 พ.ย.

“การเดินสายโรดโชว์ของบริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก TACC เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งโดยการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Key Strategic Partner) กับ CPALL มานานกว่า 12 ปี และมีการพัฒนาสินค้าร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการที่บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมาก และล่าสุดก็มีแผนการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจเครื่องกดเครื่องดื่มอัตโนมัติ เพื่อให้บริการในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่จะต่อยอดการเติบโตของบริษัทได้อย่างมั่นคงในอนาคต"นายสมภพ กล่าว

ด้านนายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร ของ TACC กล่าวว่า บริษัทจะนำเสนอข้อมูลของ TACC ทั้งในส่วนของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และแผนการขยายธุรกิจ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทในฐานะที่เป็น Key Strategic Partner ของ 7-Eleven และการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชาเขียวในกัมพูชา ครองส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) มากกว่า 50%

รวมถึงโอกาสในการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่เป็น B2C โดยหลังจากระดมทุนบริษัทเตรียมนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจด้านเครื่องกดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติ (Vending Machine) เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ โดยบริษัทวางเป้าหมายติดตั้งเครื่อง Vending Machine ให้ได้ประมาณ 1,500 เครื่อง ภายในปี 60 และมุ่งเน้นการส่งออกเครื่องดื่มตรา“สวัสดี"ไปยังประเทศจีน โดยเครื่องดื่ม“สวัสดี"เป็นสินค้าที่สร้างความแตกต่างโดยพัฒนาให้เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชิ้นเนื้อผลไม้ โดยใช้จุดแข็งของผลไม้ไทยที่มีความอร่อย ไม่ว่าจะเป็นนมทุเรียนผสมเนื้อทุเรียน หรือนมมะม่วงผสมเนื้อมะม่วง

“จุดแข็งของเราคือ การที่เราเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของไทยอย่าง 7-Eleven ที่มีสาขากระจายทั่วประเทศกว่า 8,000 สาขา และมียอดขายกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ทำให้เห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นเอกลักษณ์และความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งรูปแบบและรสชาติ รวมทั้งเรามีทีมการตลาดที่มีประสบการณ์การทำงานในบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ทำให้สามารถวางกลยุทธ์การตลาดและการขายที่เหมาะสมกับกลุ่ม เป้าหมายและช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจากจุดแข็งที่กล่าวมานั้น ทำให้เชื่อว่าเมื่อหุ้น TACC เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี" นายชัชชวี กล่าว

TACC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดหา ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟ โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทร่วมพัฒนากับพันธมิตรทางการค้า (Business to Business หรือ B2B) ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มในโถกดที่ร่วมพัฒนากับบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เพื่อวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ “7-Eleven" ที่มีสาขากระจายทั่วประเทศ เช่น กาแฟเย็น ซึ่งเป็นตราสินค้าของ 7-Eleven และชานม ภายใต้ตราสินค้า“เชนย่า" (Zenya) ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทฯ

อีกทั้งยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตามฤดูกาล เช่น กาแฟลาเต้ ชากลิ่นจับเลี้ยง ชาเขียวมัทฉะ ชาเขียวนมกลิ่นแคนตาลูป โอเลี้ยง และกาแฟสูตรเย็นเจ ให้กับ 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Business to Consumer หรือ B2C) เช่น ชาเขียวพร้อมดื่มตรา“เชนย่า"(Zenya), กาแฟปรุงสำเร็จตรา“วีสลิม" (VSlim) ซึ่งเป็นกาแฟเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก โดย VSlim เป็นยี่ห้อแรกที่ผลิตกาแฟเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนักในรูปแบบกระป๋อง และเครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผง ตรา “ณ อรุณ"(Na Arun) และ “สวัสดี"(Sawasdee) ซึ่งเน้นจำหน่ายในต่างประเทศเป็นหลัก

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 57 บริษัทมีรายได้รวม 1,007.20 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.84 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้รวม 498.92 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 38.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 69.05% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ