IFEC ยันซื้อ"ดาราเทวี"ได้สินทรัพย์เกินคุ้ม,บุ๊คกำไรปรับหนี้พันลบ.Q1/59

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 21, 2015 15:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิชัย ถาวรวัฒนยงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ้นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การที่บริษัทซื้อโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ มูลค่า 2.52 พันล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าหุ้น 1.66 พันล้านบาท และหนี้ 860 ล้านบาท เนื่องจากสามารถซื้อสินทรัพย์เข้ามาในราคาที่ถูกกว่าตลาดและสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทได้ทันที ขณะที่บริษัทมองเห็นถึงโอกาสทางทางธุรกิจในอนาคต และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลักที่ทำดำเนินงานด้านพลังงานทดแทน ซึ่งพลังงานทดแทนในประเทศมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก
"การลงทุนโรงแรมเป็นมองว่า Opportunity ให้กับ IFEC มากกว่า เพราะเราซื้อโรงแรมมาในราคาที่ไม่แพง เพราะเราซื้อมา 1.6 พันล้านบาท ไม่รวมหนี้ แต่เราได้ asset มูลค่า 5 พันกว่าล้านบาท ซึ่งตลาดเขาซื้อกัน 3.5 พันล้านบาท ไม่รวมหนี้ และซื้อมาแล้วเราก็ซื้อหนี้เขามาด้วยเพราะเราอยากให้โรงแรมมีภาระดอกเบี้ยและค่าเสื่อมลดลง โดยก้อนแรกที่เราซื้อ 860 ล้านบาทที่ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วจาก 1.4 พันล้านบาท เราก็จะได้กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ในส่วนนี้เข้ามาในไตรมาส 4/58 ประมาณ 200-500 ล้านบาท ซึ่งถ้าล้างหนี้ในก้อนแรกหมดแล้วก็อาจจะทำให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมดาราเทวีจะมีผลการดำเนินงานติดลบน้อยลง"นายวิชัย กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของโรงแรมดาราเทวีอีกก้อนมูลค่า 3.7 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อปรับลดหนี้ให้เหลือ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งหากบริษัทสามารถเจรจาเพื่อลดหนี้ได้ก้อนดังกล่าวได้แล้วนั้น จะทำให้บริษัทมีกำไรจากการซื้อหนี้ก้อนดังกล่าวเข้ามาในไตรมาส 1/59 ราว 1 พันล้านบาท

และจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรได้ในปีหน้า จากที่โรงแรมดาราเทวีเชียงใหม่เคยมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายปีละ 130 ล้านบาท และจะทำให้มีค่าเลื่อราคาที่ลดลงเหลือ 100 ล้านบาทต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 200 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้โรงแรมดาราเทวีเชียงใหม่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 480-500 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) ปีละ 150 ล้านบาท

นายวิชัย กล่าวอีกว่า บริษัทยังได้มีการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อศึกษาการร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยบนที่ดินที่เหลือของโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่อีก 30 ไร่ หรืออาจเลือกแนวทางการขายที่ดินออกไปซึ่งหากเป็นการขายที่ดินก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเข้ามาทันทีราว 600 ล้านบาทในปี 59 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ล้านบาทต่อไร่

ส่วนการที่เจ้าของเดิมของโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ คือ นายสุเชฏฐ์ สุวรรณมงคล จะเข้ามาถือหุ้นใน IFEC หรือไม่นั้น บริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด(PP)เพื่อขายให้นายสุเชฏฐ์ แต่จะต้องซื้อหุ้น IFEC บนกระดานตามราคาตลาด เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาหุ้นและสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม

นายวิชัย กล่าวว่า บริษัทยืนยันว่ายังคงดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนเป็นธุรกิจหลักเหมือนเดิม แต่มีโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่เข้ามาเป็นส่วนเสริมที่แตกต่างจากธุรกิจหลักออกไป ซึ่งโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ ยังมีการเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยเฉพาะศูนย์สุขภาพที่จะมีการพัฒนาให้ศักยภาพมากขึ้น และชูเป็นจุดเด่น เนื่องจากโรงแรมมีบุคคลากรและเครื่องมือต่างๆที่ค่อนข้างครบครัน แต่อาจจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอีกเล็กน้อยเพื่อให้การบริการของธุรกิจศูนย์สุขภาพสมบูรณ์แบบ เพื่อทำให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นในหลายๆกลุ่มที่ต้องการมาทำการรักษาและบำบัดในประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีการเดินทางเข้ามาใช้บริการศูนย์สุขภาพของไทยค่อนข้างมาก

"ผมเองก็เป็นหมอซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการรักษามาประยุกต์ให้ให้เข้ากับศูนย์สุขภาพ ซึ่งจะชูเป็นจุดเด่นของโรงแรม จริงๆโรงแรมเข้าก็มีบุคคลากรที่เป็น Therapist 1 ใน 10 ของโลก และมีเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆค่อนข้างพร้อมอยู่แล้ว แต่เราอยากให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพื่อสามารถทำการรักษาและบำบัดโรคได้หลากหลาย ซึ่งมองการเติบโตของศูนย์สุขภาพเฉลี่ยปีละ 100%"นายวิชัย กล่าวในฐานะที่เป็นนายแพทย์ด้วย

ขณะเดียวกัน นายวิชัย ยืนยันว่า IFEC จะมีธุรกิจหลักเป็นพลังงานทดแทนเมือนเดิม แต่มีโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่เข้ามาเป็นตัวเสริมผลการดำเนินงาน เพราะนอกจากจะมองเห็นโอกาสในตัวโรงแรมนี้ และซื้อมาในราคาที่ถูกแล้ว ผลตอบแทนที่กลับมามากกว่าราคาที่ซื้อมา โดยเฉพาะที่ดินที่เหลือรอการพัฒนาอีก 30 ไร่

"ถ้าจะขายก็ขายได้ หรือเอาแบบสมมุตินะซื้อโรงแรมมาแล้วขายตอนนี้ 3 พันกว่าล้านบาทออกไปก็ยังได้ เราก็มีกำไรกลับมาอีก แต่ผมคงไม่ทำแบบนั้นที่ซื้อมาเพราะอยากมาพัฒนาโรงแรมให้ดีขึ้นไปอีก และผมลงทุนอะไรไปแล้วก็นึกถึงผลตอบแทนที่จะกลับมามให้ผู้ถือหุ้นอยู่ตลอด เราก็คาดหวังอยากจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น ส่วนข่าวลือที่ออกมาว่าเราซื้อโรงแรมนี้แล้วมีผลกระทบไม่ดีต่อบริษัท ก็อยากให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจว่าดีลนี้เรามองเห็นถึงโอกาสจริงๆ"นายวิชัย กล่าว

ส่วนกรณีการที่กระทรวงพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศเลื่อนจับฉลากโซลาร์ฟาร์มภาครัฐออกไปเป็นภายในเดือนมกราคม 59 บริษัทได้รับผลกระทบจากการเลื่อนการประกาศออกไปบ้างเล็กน้อย เช่นเดียวกับผู้ประกอบการเจ้าอื่นๆที่รอผลการประกาศการจับฉลากเช่นเดียวกัน แต่บริษัทได้มีจำนวนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ผ่านคุณสมบัติจากกกพ.เพิ่มขึ้นเป็น 70 เมกะวัตต์ จากเดิมที่ผ่านคุณสมบัติ 48 เมกกะวัตต์ ซึ่งบริษัทคาดหวังผลการประกาศการจับฉลากนั้นจะได้ประมาณ 50 เมกกะวัตต์ จากเดิมที่คาดหวังไว้ 30 เมกกะวัตต์ โดยกำหนดการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในครั้งนี้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 59 ซึ่งบริษัทคาดว่าอาจจะต้องมีการเลื่อน COD ออกไปอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่มีความพร้อมในการ COD ที่เหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ