"ปีนี้ถือว่าเป็นปีของความผันผวน โดยปีที่ผ่านมาเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น และจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป ขณะที่เชื่อมั่นว่าช่วงปลายปีนี้เราน่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น รถไฟ ทางด่วน เป็นต้น ที่จะเริ่มเห็นการตอกเสาเข็ม ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศไทยเริ่มมีทางออกมากขึ้น"นางเกศรา กล่าวให้สัมภาษณ๋ทางสถานีโทรทัศน์บ่ายวันนี้
ทั้งนี้ การลงทุนในช่วงตลาดผันผวนนี้ แนะนำนักลงทุนดูตัวเลขการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย เพราะหากตัดในเรื่องของราคาน้ำมันออกไปจะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดยังเป็นบวก และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน อย่าง ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย มีผลการดำเนินงานติดลบ จึงอยากให้ผู้ลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทจดทะเบียนไทยว่ามีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจและมีความแข็งแกร่งพอสมควร เมื่อเทียบกับตลาด emerging อื่น
นอกจากนี้ เชื่อมั่นว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยมีความกระจายตัวมากกว่าหากเทียบกับทุกประเทศในเอเชีย โดยประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมัน ขณะที่ บมจ.ปตท.(PTT) มีมาร์เกตแคป 10% ส่วนกลุ่ม ICT ที่น่าจะมีการเติบโตได้ดีก็มีมาร์เก็ตแคปถึง 6% ส่วนกลุ่มธุรกิจที่เหลือมีการดำเนินกิจการที่มีความหลากหลาย ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกสรรการลงทุนได้ อีกทั้งบริษัทต่าง ๆ ยังมีการเติบโตได้อีกมาก
สำหรับการปรับตัวลงมาของตลาดหุ้นไทย แนะนักลงทุนมองการลงทุนในระยะยาวจะส่งผลดี โดยใช้หลักการเลือกสรรในหุ้นที่ชอบ ,มีการเติบโตในระยะยาว และเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผล
"ผู้ที่มีเงินสดและอยากลงทุนระยะยาว ก็คิดว่าเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่หาข้อมูลเพิ่มเติมในการลงทุน หรือจะเป็นการลงทุนทุกๆเดือน ก็เป็นผลดีที่เราไม่ต้องกังวล อีกทั้งการลงทุนในกองทุนหุ้นก็น่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี รวมถึงยังได้ผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน หรือลงทุนในตราสารหนี้"นางเกศรา กล่าว
ส่วนมาตรการดูแลควบคุมหุ้นของตลาดหลักทรัพยฯ มองว่าเป็นมาตรการที่ได้ใช้มาระยะหนึ่งแล้วนั้นยังอยู่ในระดับที่ใช้ได้ในปัจจุบัน ส่วนมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ของจีนก็มีความแตกต่างกันกับไทย จะเห็นได้ว่าไทยใช้ 10% แรกเพื่อหยุดการซื้อขายของตลาด และต่อมาเป็น 20% แต่จีนจะใช้เมื่อถึง 7% ก่อนจะหยุดการซื้อขาย
นางเกศรา กล่าวว่า แผนการดำเนินงานของตลท.ปี 59 ในส่วนของหุ้นที่จะเข้าจดทะเบียนใหม่(IPO)จะมีมูลค่าประมาณ 270,000 ล้านบาท และมีบริษัทจดทะเบียนที่มีแผนเพิ่มทุนอีกกว่า 200,000 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีอยู่กว่า 500,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยังคงให้ความเน้นย้ำในเรื่องของคุณภาพของบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียน
พร้อมกันนี้ตลท.ยังเน้นย้ำในเรื่องของการสนับสนุน SME ทั้งจดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียน โดยจะส่งเสริมในด้านของการหาเงินลงทุน และส่งเสริมความเป็นมืออาชีพ เช่น ความรู้ความเข้าใจด้านการตลาด เทคนิค ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับ SME ทั้งหมด เพื่อมุ่งหวังการเติบโตที่ดีในอนาคต และส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 10 กลุ่ม ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนอีกด้วย รวมถึงจะเน้นยำการส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ และความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยได้สะดวกขึ้น
"สิ่งที่ท้าทายคือ Sentiment ของผู้ลงทุน และผู้ให้ข้อมูล ซึ่งในช่วงต้นปีอาจจะดูลดลงไปบ้าง แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานของประเทศและปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย มั่นว่าจะไม่แพ้ใคร และบริษัทจดทะเบียน ก็มีความขยันมั่นเพียร หาทุกโอกาสของการลงทุนใหม่ๆ โดยหากนักลงทุนใช้เวลาในการศึกษาหาหุ้นที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาว ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ท่านจะสร้างผลตอบแทนที่สูงได้"นางเกศรา กล่าว
อย่างไรก็การ ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยอยู่ราว 31% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยในปีนี้ทาง ตลท.จะเน้นทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศจะทำอย่างไรให้ผู้ลงทุนใช้ผู้จัดการกองทุนให้เกิดประโยชน์ ด้านสถาบันต่างประเทศ ก็ยังคงมีการเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง โดยได้กำหนดการเดินสายโรดโชว์ ทั้งสิ้น 5 ครั้ง ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ลอนดอน และนครนิวยอร์ก