ส่วนแผนการร่วมทุนกับบมจ. ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังมีความล่าช้าจากปี 58 ที่ผ่านมา เนื่องจากติดปัญหาการจัดทำโครงสร้างทางบัญชี รวมถึงโครงสร้างใหม่ของการถือหุ้น โดยทาง AIRA จะเข้าถือหุ้นในบริษัทฯไม่ต่ำกว่า 50% มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 59 บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจ 10-15% ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิคาดเติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิราว 7-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ราว 10 สาขา จากช่วงปี 57-58 ราว 8 สาขา โดยจะเน้นการขยายสาขาตามสถานีรถไฟฟ้า BTS ห้างสรรพสินค้า และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
ปัจจุบัน ซุปเปอร์ริชฯ มีสาขาที่ให้บริการทั้งสิ้น 30 สาขา รวมทั้งมีสกุลเงินต่างประเทศพร้อมให้บริการมากถึง 34 สกุลเงิน
พร้อมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเงินมาใช้รวมทั้งบริการเสริมอื่นๆ อาทิ บริการจองเงินผ่านระบบออนไลน์และ Call Center โดยสามารถไปรับเงินได้ที่สาขาที่สะดวก นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะมีตู้แลกเงินอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยจำนวนสูงถึง 29 ล้านคน ผนวกกับนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจรับเลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทมองว่าจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาครัฐรวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)จะทำให้มีชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น
พร้อมปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีความทันสมัยแตกต่างจากคู่แข่ง
นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าปริมาณธุรกรรมในปีนี้จะเติบโต 10% จากปี 58 ที่มีมูลค่าการซื้อ-ขายเงินสกุลต่างประเทศ 1.25 หมื่นล้านบาท โดยหลังจากเปิด AEC คาดว่าปริมาณการซื้อ-ขายเงินสกุลต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยมากขึ้น ทั้งนี้ จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนในช่วงนี้ บริษัทฯ ได้มีการสต็อกดอลลาร์ไว้ เนื่องจากมองแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อเดือนธ.ค. ที่ผ่านมาและมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีนี้ โดยประเมินค่าเงินบาทสิ้นปีนี้ที่ 38 บาท/ดอลลาร์