ส่วนรายได้ปี 59 ตั้งเป้าอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนที่บริษัทคาดว่ารายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.8 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย โดยบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ 6-7 พันล้านบาท จากมูลค่า Backlog ที่มีอยู่ไนปัจจุบันกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Room สุขุมวิท 69 มูลค่าโครการ 2.6 พันล้านบาท จะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 1/59 โครงการ The Room สาทร 11 มูลค่าโครงการ 1.9 พันล้านบาท และโครงการ 333 Riverside มูลค่าโครงการ 7 พันล้านบาท จะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/59
นอกจากนี้บริษัทมีรายได้ค่าเช่าที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2.5-2.6 พันล้านบาท หรือเติบโต 27-28% จากปีก่อน 2 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการปรับเพิ่มราคาห้องพักของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 3 แห่งในปีนี้ 27-28% นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้จากเงินลงทุนซึ่งจะบันทึกเข้ามาเป็นกำไรสุทธิ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเข้ามาในปีนี้ 2.6 พันล้านบาท หรือเติบโต 13% จากปีก่อน 2.3 พันล้านบาท
นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวม 2.35 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 9 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ โดยแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัย ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 3 โครงการ คอนโดมิเนียม 5 โครงการ
สำหรับงบลงทุนปีนี้ตั้งงบไว้ทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดิน 7 พันล้านบาท และงบลงทุนด้านพัฒนาหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อขายให้เช่าอีก 7 พันล้านบาท โดยงบซื้อที่ดินจะเน้นในทำเลกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต
โดยปี 58 บริษัทใช้งบลงทุนไป 7 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 4 พันล้านบาท และการลงทุนธุรกิจอสังหาฯ เพื่อให้เช่าอีก 3 พันล้านบาท โดยเป็นการลงทุนซื้ออพาร์ทเมนท์ในสหรัฐฯ 2.5 พันล้านบาท และการลงทุนภายในประเทศอีก 500 ล้านบาท นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทมีแผนการระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทซึ่งบริษัทจะแบ่งการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงต้นไตรมาส 2/59 และช่วงไตรมาส 4/59 มูลค่าหุ้นกู้ที่จะออกใหม่ชุดละ 6 พันล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมและเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยคาดว่าสิ้นปี 59 บริษัทฯ จะมีอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนระดับไม่เกิน 80% จากปี 58 อยู่ที่ 65%
ส่วนแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะยังทรงตัวจากปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงชะลอ ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจยังไม่กลับมาดี และการตัดสินใจซื้อยังชะลอตัว ขณะที่อัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ยังคาดว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของระบบในปัจจุบันอยู่ที่ 30% โดยบริษัทมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 15-20%