BAY ตั้งเป้าสินเชื่อรวมปีนี้ขยายตัว 5-6% สูงกว่า GDP ที่คาดโต 3.2%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 20, 2016 13:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า กรุงศรี ตั้งเป้าการขยายตัวของสินเชื่อรวมที่ 5-6% สำหรับปี 2559 โดยตั้งเป้าการขยายสินเชื่อครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจและสูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งภายในและภายนอกประเทศ กรุงศรีจะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างรอบคอบระมัดระวัง

ทั้งนี้ แนวโน้มธุรกิจโดยรวมของธนาคาร ปี 2559 นับเป็นปีที่มีโอกาสทางธุรกิจสำหรับธนาคาร โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กรุงศรีหวังว่า เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ ภายใต้การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 3.2%

นายโกโตะ กล่าวว่า แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความผันผวน กรุงศรีสามารถบริหารผลการดำเนินงานที่ดี ในปี 2558 ทั้งนี้ หากไม่รวมผลจากการรับโอนสินเชื่อจาก BTMU สาขากรุงเทพฯ เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 4.7% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.9 พันล้านบาท สะท้อนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลของทีมงานกรุงศรีและจากความสำเร็จในการควบรวมธุรกิจของ BTMU สาขากรุงเทพฯ ที่เสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นปี 2558

“ภายใต้แรงกดดันจากสภาวะทางเศรษฐกิจ กรุงศรีดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ได้สะท้อนให้เห็นได้จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ไม่ได้ปรับลดลง"นายโกโตะ กล่าว

ทั้งนี้ BAY ซึ่งเป็นบริษัทในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) รายงานผลกำไรสุทธิแข็งแกร่งสำหรับปี 2558 อยู่ที่ 18.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6% จากปี 2557 โดยปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ การเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 58 ธนาคารมีการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ เพิ่มขึ้น 28.7% หรือจำนวน 290.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 และเพิ่มขึ้น 5.4% หรือจำนวน 66.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558

การเติบโตของเงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 24.9% หรือจำนวน 208.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 และเพิ่มขึ้น 3.3% หรือจำนวน 33.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ส่วนกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.9 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.6% จากปี 2557

สำหรับสินเชื่อขยายตัว 28.7% เพิ่มขึ้นสูงถึง 290.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2557 โดยการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปี 2558 มีปัจจัยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 84.6% จากสินเชื่อธุรกิจที่รับโอนจาก BTMU สาขากรุงเทพฯ ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยขยายตัวครอบคลุมทั้งในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 12% อย่างไรก็ดี สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหดตัว 8.2%

ขณะที่เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 24.9% หรือจำนวน 208.7 พันล้านบาท จากปี 2557 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับโอนเงินฝากจาก BTMU สาขากรุงเทพฯ และความสำเร็จต่อเนื่องในการระดมเงินฝากผ่านผลิตภัณฑ์ “กรุงศรีมีแต่ได้" เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยพิเศษและ “ออมทรัพย์จัดให้" เงินฝากที่มาพร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งนี้ สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถามต่อเงินรับฝากทั้งหมดอยู่ที่ 51.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 4.15% ในปี 2558 ทั้งนี้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ปรับลดลงในปี 2558 สะท้อนสัดส่วนของเงินให้สินเชื่อลูกค้าธุรกิจที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ต้นทุนทางการเงินปรับตัวดีขึ้นมาก

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งหมด(NPL) อยู่ที่ 2.24% ลดลงจาก 2.79% ในปี 2557 แม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้น 16.7% จากปี 2557 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้กู้ยืม ค่าธรรมเนียมบริหารความมั่งคั่งและกองทุน และค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์และค่าธรรมเนียมบริการบัตร

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับดีขึ้นอยู่ที่ 47.1% จาก 48.5% ในปี 2557 สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้และประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้นจากการผสานความแข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG ตลอดจนวินัยในการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 1.303ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.046 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.706 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 166.3 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 13.6% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.0%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ