ล่าสุด บล.ภัทร เปิดตัวบริการ "Phatra Edge" หรือที่ปรึกษาวางแผนการลงทุนส่วนบุคคลให้กลุ่ม Mass Affluent ซึ่งมีเงินลงทุนตั้งแต่ 2-30 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครอบครองสินทรัพย์กว่า 50% ของโลก ถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ อีกทั้งคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ได้ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคลมากขึ้น
Phatra Edge จะช่วยให้ลูกค้าไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้เร็วและง่ายขึ้น โดยชูจุดเด่นสำคัญ 3 ด้าน คือหนึ่งเป็นตัวช่วยจัดระบบการลงทุนแบบส่วนตัว ช่วยในการวางแผนจัดพอร์ตและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงให้คำแนะนำในการวางแผนการเงิน (Financial Roadmap) ที่ครอบคลุมทั้งการวางแผนภาษี แผนเกษียณ แผนการศึกษาบุตร แผนการลงทุนภายใต้การดูแลของที่ปรึกษาวางแผนการลงทุน (Investment Advisor : IA) ที่เชียวชาญเรื่องการลงทุน
พร้อมทั้งยังให้ความสะดวกสบาย ครบถ้วน ทุกที่ทุกเวลา ลูกค้าสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการลงทุน ทำธุรกรรมการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ผ่านระบบออนไลน์ และ Mobile Application รวมทั้งบริการ One Report ที่สรุปภาพรวมของการลงทุนการเติบโตของทรัพย์สินและอัตราผลตอบแทนย้อนหลังไว้ในที่เดียวช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการติดตาม ตรวจสอบผลการลงทุน อีกทั้งในอนาคตอันใกล้ ลูกค้า Phatra Edge ที่มีบัญชีเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินยังสามารถใช้บริการในส่วนของ Banking Product ผ่าน Investment Platform ของ Phatra Edge ได้ ซึ่งถือเป็น Platform ที่ตอบโจทย์ทุกเรื่องการลงทุนได้อย่างครบวงจร
สุดท้าย คือ คำแนะนำที่เป็นกลางจากผู้เชี่ยวชาญ ด้วยบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและได้รับรางวัลต่อเนื่องทุกปี และด้วย Platfrom ที่เป็นแบบ Open Architecture จึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ลูกค้าเลือกลงทุนหลากหลายจาก 20 บลจ.ชั้นนำ และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ต้องการแนะนำในการเลือกซื้อกองทุน Phatra Edge ได้จัดทำ Phatra Selected Fund กองทุนรวมแนะนำที่ผ่านการเลือกสรรอย่างเป็นกลางพิจารณาจากผลตอบแทนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงในการลงทุนในแต่ละระดับ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้อย่างมั่นใจ
"Pratra Edge ถือว่าเป็นตัวช่วยทุกการลงทุน โดยบริการดังกล่าวสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลกลุ่มนักลงทุน Mass Affluent โดยเฉพาะ จากที่ผ่านมาลูกค้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้รับการดูแลมากนัก อย่างไรก็ตามบริการนี้จะช่วยให้คำปรึกษาอย่างเป็นกลาง จัดสรรพอร์ต ให้กับผู้ที่มีเงินลงทุน 2-30 ล้านบาท"นางกุลนันท์ กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่ม Mass Affluent มีความต้องการบริหารเงินลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน คนที่มีเงินเดือนและฐานภาษีในอัตรา 20% ขึ้นไป คนที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF/RMF คนเหล่านี้ต้องการตัวช่วย ในการให้คำปรึกษาในลักษณะที่เป็น Solution จึงได้พัฒนาระบบและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นตัวช่วยทางด้านการเงินให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วและง่ายขึ้น ซึ่งลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดอย่างแน่นอน จากปีที่ผ่านมาตลาดติดลบ 14% แต่ลูกค้าของ บล.ภัทร ติดลบไม่เกิน 10%
นางกุลนันท์ กล่าวว่า บล.ภัทร มองการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 2-3% ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนและปัจจัยลบ ทั้งในเรื่องของการเมือง โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญที่ยังต้องจับตาว่าจะผ่านไปได้หรือไม่, ปัญหาภัยแล้งในช่วงไตรมาส 2/59 และการส่งอออกที่คาดจะฟื้นมาเติบโตราว 1-2% จากปี 58 ติดลบ 5% แต่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องด้วยเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ตลอดทั้งปีนี้จะยังคงมีความผันผวน โดยมองดัชนี SET สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,350-1,380 จุด ขณะที่บริษัทก็มีแผนที่จะปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ลงได้อีก แนะนักลงทุนให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น อย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น รวมถึงลงทุนในพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ขนาดใหญ่ ส่วนหุ้นกู้ควรลงทุนอายุไม่เกิน 3 ปี
ขณะที่มองราคาน้ำมันปีนี้อาจปรับตัวลงต่ำกว่า 30 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่จะเป็นเพียง4k;tชั่วคราว ส่วนทั้งปีนี้ราคาน่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 40-50 เหรียญฯต่อบาร์เรลได้