กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศหรือเงินฝาก ได้แก่ เงินฝากธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 22% เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน,มาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 22% เงินฝากธนาคาร Agricultural Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน,ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 22% เงินฝากธนาคาร China Construction Bank (สาธารณรัฐประชาชนจีน,ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 19% และเงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 15%
ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 1.75% ต่อปี (ประมาณการค่าใช้จ่ายของกองทุนที่ 0.14% ต่อปีของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M20 (KFFAI6M20) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
นางสาวศิริพร กล่าวถึงภาวะตลาดตราสารหนี้โลกว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ด้านสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของประเทศกรีซขึ้นสู่ B- จาก CCC+ เนื่องจากกรีซประสบความสำเร็จในการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธนาคารและการปฏิรูปงบประมาณ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนในเดือน ม.ค.ซึ่งเป็นผลจากความผันผวนในตลาดการเงิน
ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยธนาคารกลางระบุว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบมากขึ้นหากมีความจำเป็น ในส่วนของมาตรการซื้อสินทรัพย์ยังคงอยู่ที่ 80 ล้านล้านเยนดังเดิม สำหรับยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค. ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดส่งออกสู่ตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น เอเชีย และสหรัฐฯต่างปรับตัวลดลง ในขณะที่ยอดส่งออกสู่สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯปรับตัวลดลง 0.00–0.13% โดยอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวปรับลดลงมากกว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้น ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงมากเช่นเดียวกับตลาดอื่นๆในภูมิภาค โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่ธนาคารในหลายประเทศจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และสภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลง 0.00–0.15% โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลดลงมากกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้น (ข้อมูล:บลจ.กรุงศรี ณ 2 ก.พ. 59)