BCP คงเป้า EBITDA ปี 63 แตะ 2.5 หมื่นลบ.แม้มองราคาน้ำมันต่ำ,BCPG เข้าตลาดหุ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 4, 2016 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ยังคงเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานแตะระดับ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 63 จากปีนี้ที่คาดไว้ที่ระดับ 1.26 หมื่นล้านบาท แม้ประเมินราคาน้ำมันจะยังอยู่ในระดับต่ำไม่เกินระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลช่วง 5 ปีจากนี้

พร้อมยืนยันลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ต่อไป แม้ไตรมาส 4/58 จะตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ปิโตรเลียมต่อเนื่องเป็นปีที่สองก็ตาม แต่อยู่ในระดับที่ไม่มากหรือไม่ถึง 300 ล้านบาท พร้อมดันกิจการไฟฟ้า บริษัท บีซีพีจี จำกัด (BCPG) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นช่วงครี่งหลังปีนี้ หวังระดมทุนราว 8 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ซื้อกิจการไฟฟ้าในอนาคต

"เราจะคุยกันเสาร์-อาทิตย์นี้เป็น workshop ระดับ EBITDA ที่ 2.5 หมื่นล้านบาทเป็นอะไรที่ long term เอาปีนี้ก่อนซึ่งเราค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้ตามเป้าหรือดีกว่าเป้า ที่จะประชุมกันก็เป็นแผนระยะยาว 5 ปีและ 10 ปี...EBITDA ที่ 2.5 หมื่นล้านบาทไม่คิดว่าจะเปลี่ยน ต้องหาทางไปให้ถึง เป้าคงไม่เปลี่ยนแต่วิธีการต้องลองคุยกัน

ส่วนการลงทุนก็ยังเป็นไปตามแผนที่จะลงทุนทั้งธุรกิจสีเขียว debottleneck non-oil ส่วน E&P ยังเป็น question mark อยู่ เป้ารวมไม่เปลี่ยน แต่สัดส่วนงานอาจจะเปลี่ยน สัดส่วน E&P อาจจะเปลี่ยน แต่เราไม่ได้คิดที่จะถอนการลงทุน"นายชัยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์"อินโฟเควสท์"

นายชัยวัฒน์ มองว่า ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ที่บริษัทเข้าลงทุนใน Nido Petroleum Limited (Nido) ตั้งแต่ปี 57 จะยังคงสามารถสร้างกำไรได้ดีในอนาคตเพราะราคาน้ำมันดิบที่ระดับกว่า 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนม.ค.ที่ผ่านมาน่าจะเป็นระดับต่ำสุดแล้ว ซึ่งเป็นผลจากภาวะอุปทานที่ล้นตลาด แต่เชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันที่มีอยู่ก็จะผลักดันให้อุปสงค์และอุปทานปรับเข้าสู่สมดุล โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ราว 35-45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไม่น่าเกิน 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วง 5 ปีข้างหน้า

ขณะที่ Nido ซึ่งมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบในแหล่ง Galoc ที่ฟิลิปปินส์ ยังคงทำการผลิตได้ในระดับราคาน้ำมันดิบที่ปัจจุบัน เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ราว 31-32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่หากราคาน้ำมันดิบปรับลงต่ำกว่า 31 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเป็นเวลา 2-3 เดือนก็อาจจะทำให้ไม่สามารถผลิตได้ แต่การที่ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ ก็อาจทำให้ต้องพิจารณามากขึ้นในการเข้าลงทุนใหม่ โดยต้องพิจารณาถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำมากๆ และได้ราคาเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/58 ที่ผ่านมาบริษัทต้องตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ปิโตรเลียมอีกเล็กน้อยไม่เกินระดับ 300 ล้านบาท จากที่ในปี 57 ได้ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าวมาแล้วเกือบ 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากระดับราคาน้ำมันที่ต่ำลง

"ถ้ามีแหล่งที่มีต้นทุนแค่ 15 เหรียญ (ต่อบาร์เรล) เราก็ซื้อ ถ้าบางคนที่มีปัญหาสภาพคล่องจะต้องขาย เราก็เปิดหูเปิดตาไว้ แต่ถ้าต้นทุนสูงมาก ก็ไม่รีบซื้อ และถ้าราคาไม่สมเหตุสมผลเราก็ไม่ซื้อ...น้ำมันยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกไปอีกนาน อย่าให้ความผันผวนชั่วครั้งชั่วคราวมาทำให้แนวทางธุรกิจเปลี่ยนไป เป็นเรื่องของ short term คิดว่าน้ำมันจะ 20 เหรียญตลอดไปไปไหม ถ้าขึ้นมา 70 เหรียญก็มีกำไร ก็พอแล้ว ต้นทุนอยู่ 30 เหรียญ กำไรตั้ง 100% แล้ว ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่ดีก็ไม่ต้องรีบลงทุน"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมาย EBITDA จากการดำเนินงานในปี 63 ยังเป็นไปในระดับเดิม โดยจะมาจากธุรกิจโรงกลั่นราว 8 พันล้านบาท, ธุรกิจ E&P ราว 5 พันล้านบาท, ธุรกิจกรีน พาวเวอร์ ราว 5 พันล้านบาท, ธุรกิจไบโอดีเซลและเอทานอล ราว 1 พันล้านบาท, ธุรกิจค้าปลีกราว 3.2 พันล้านบาท เป็นต้น

การดำเนินธุรกิจในระยะต่อไปจะเน้นแนวทาง 3S ทั้ง Security การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ด้วยการลงทุนธุรกิจต้นน้ำ, Stability เสริมสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานและการเงิน ด้วยการลงทุนด้านพลังงานทดแทน และ Sustainability สร้างความยั่งยืนให้องค์กร โดยเพิ่มรายได้จากธุรกิจ non-oil เพื่อพัฒนาให้เป็นรูปแบบเฉพาะในลักษณะ Bangchak Model แต่ในระยะสั้นหากธุรกิจใดยังไม่ดีก็จะเน้นไปยังธุรกิจที่มีอนาคตอยู่ได้ โดยในกรณีนี้ก็จะเน้นในเรื่องของพลังงานทดแทน ซึ่งมีมาร์จิ้น 10-12% และการขยายสถานีบริการ รวมถึง non-oil ซึ่งมีมาร์จิ้นราว 15%

เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทประกาศเข้าซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมดของกลุ่ม SunEdison วงเงินไม่เกิน 2,915 ล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 198 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จและรับรู้รายได้บางส่วนได้ทันทีในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 13 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 27 เมกะวัตต์ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ทำให้ทั้งปีนี้จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้ากลุ่ม SunEdison รวม 40 เมกะวัตต์ ส่วนกำลังการผลิตที่เหลืออีก 158 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ทั้งหมดในปี 2561

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งหมดดำเนินการโดย BCPG ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่อยู่ระหว่างการนำหุ้น BCPG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยการเข้าซื้อโรงไฟฟ้ากลุ่ม SunEdison ครั้งนี้ จะทำให้ BCPG มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตแล้วราว 150-160 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทมีแผนจะเตรียมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตแล้วสำหรับ BCPG ให้ครบ 200 เมกะวัตต์ ก่อนที่จะนำหุ้นเข้า SET ในราวไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาดในขณะนั้นด้วย

ทั้งนี้ BCPG จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ราวเดือน มี.ค.59 โดยมี บล.กสิกรไทย, บล.ทิสโก้ และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ BCP จะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน BCPG เหลือราว 70%

บริษัทคาดว่าจะได้เม็ดเงินจากระดมทุนครั้งนี้ราว 8 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อโรงไฟฟ้าและพัฒนาโรงไฟฟ้าตามแผน โดยมีเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตแล้วครบ 500 เมกะกวัตต์ภายในปี 63 จากปัจจุบันที่เมื่อซื้อโรงไฟฟ้าของ SunEdison แล้วจะทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในไทยและญี่ปุ่นรวม 410 เมกะวัตต์ เป็นกำลังการผลิตที่เดินเครื่องแล้วราว 131 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าในไทย 118 เมกะวัตต์ และ SunEdison อีก 13 เมกะวัตต์

"ตั้งเป้าที่จะระดมทุนที่ระดับ 8 พันล้านถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปใช้ซื้อโรงไฟฟ้าและพัฒนาโครงการ BCPG ยังโตได้อีกเยอะจาก 120 เป็น 500 เมกะวัตต์ใช้เงินอีกพอสมควร โรงไฟฟ้าประเภทอื่นเราก็ดู Geothermal (โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ) ก็คุยกันช่วงนี้ภาพค่อนข้างเปลี่ยนเราก็รอดูว่าราคาจะลงตามเหมือนพวก E&P ไหม เมื่อได้ราคาถูกใจก็จะจบ ที่ดูไว้ที่มาเลเซีย ก่อนเข้าตลาดฯจะเตรียมให้ถึง 200 เมกะวัตต์ ในประเทศ size ค่อนข้างเล็ก เราก็จะมองต่างประเทศเป็นหลัก"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ ระบุด้วยว่า บริษัทยังไม่มีแผนจะซื้อหุ้น BCP คืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมากตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาจากความกังวลการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ฯ แม้บริษัทจะมีกระแสเงินสดอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาทก็ตาม เนื่องจากบริษัทยังมีแผนลงทุนในโครงการต่างๆ อีกมากเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคตของทั้งในส่วนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ,สถานีบริการน้ำมัน และ non-oil, ไบโอดีเซลและเอทานอล รวมถึงธุรกิจไฟฟ้า

ตามแผนลงทุนในช่วงปี 58-63 จะใช้เงินลงทุนรวม 9 หมื่นล้านบาท ซื่งในจำนวนนี้จะเป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่มากถึง 5 หมื่นล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจ E&P,โรงไฟฟ้าสีเขียว และ Biofuel ทั้งไบโอดีเซลและเอทานอล ขณะที่ใช้งบราว 2 หมื่นล้านบาท สำหรับซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน ขณะที่อีก 2 หมื่นล้านบาทจะใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพโรงกลั่น โรงไฟฟ้า งานบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม การบริการ สถานีบริการ และอื่นๆ

โรงกลั่นน้ำมันที่มีแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 1.4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่น 1.2 แสนบาร์เรล/วันนั้น คาดว่าจะดำเนินการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่การหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-24 มี.ค.นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 1/59 ให้ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนบ้าง เนื่องจาก EBITDA ของธุรกิจกลั่นจะลดลงไปราวครึ่งหนึ่งจากปกติ 1,500 ล้านบาท/ไตรมาส

แต่ภาพรวมยังมองว่าผลการดำเนินงานก็น่าจะยังอยู่ระดับที่ดี เนื่องจากบริษัทยังมีธุรกิจการตลาดที่มีมารฺ์จิ้นดีอยู่ด้วย เมื่อเทียบกับโรงกลั่นอื่นที่ส่วนใหญ่จะมีเพียงธุรกิจการกลั่นอย่างเดียว รวมถึงยังมี EBITDA จากธุรกิจอื่นๆเข้ามา เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า สร้าง EBITDA ราว 800-900 ล้านบาท/ไตรมาส และธุรกิจการตลาด สร้าง EBITDA ราว 600-700 ล้านบาท/ไตรมาส

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า การหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งนี้จะทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันรวมในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.7 หมื่นบาร์เรล/วัน จากเฉลี่ย 1.13 แสนบาร์เรล/วันในปีที่แล้ว ขณะที่คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน จะทำได้ราว 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราว 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว จากปริมาณน้ำมันดีเซลที่ทั่วโลกยังมีอยู่มาก ขณะที่โรงกลั่นของบริษัท สามารถกลั่นดีเซลได้ในปริมาณสูงราว 50% และกลั่นน้ำมันเบนซินได้ราว 18% ส่วนในปีนี้จะมีผลกระทบจากสต็อกน้ำมันหรือไม่นั้น ยังต้องรอดูราคาน้ำมันในช่วงสิ้นปีนี้อีกครั้ง ขณะที่ปีที่ผ่านมามีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันกว่า 4 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ