TU มุ่งเป้าสร้างยอดขายแตะ 8 พันล้านเหรียญในปี 63 เล็งเปิดตัวหลายโครงการใหม่ปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 24, 2016 09:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า ในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการ อีกทั้งการผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ มุ่งเน้นการบริการลูกค้ากลุ่มเซอร์วิส เช่น ภัตตาคาร ร้านอาหาร แนวทางการบริการอาหารทะเลให้กับลูกค้าในตลาดเกิดใหม่ทั้งตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน
"การเติบโตจะถูกขับเคลื่อนด้วยแนวทางธุรกิจใหม่ๆ นี้ กอปรกับการควบรวมกิจการ รูเก้นฟิช ผู้นำอาหารทะเลในประเทศเยอรมนี ที่เราพึ่งเข้าซื้อหุ้นมาได้ 51%มาเป็นสมาชิกล่าสุดของครอบครัวไทยยูเนี่ยน"

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ถึงแม้จะมีการยกเลิกเข้าซื้อกิจการ บับเบิลบี ในปลายปี 2558 ทางบริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายปี 2563 ด้วยยอดขาย 8 พันล้านเหรียญโดยได้มีการปรับปรุงแผนการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

“โครงการใหม่ๆ ที่กล่าวมา บวกกับการขยายกิจการอย่างต่อเนื่องของไลน์ธุรกิจที่เรามีอยู่เดิมจะยังไม่พอเพียงที่จะบรรลุเป้าหมายปี 2563 ดังนั้นเรายังจะคงแสวงหาลู่ทางในการเข้าควบซื้อกิจการใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มเราและด้านยอดขายรวม เรากำลังมองหาโอกาสต่างๆ ที่จะสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 1 – 1.5 พันล้านในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยทีมผู้บริหารที่มีอยู่เดิม และผู้บริหารใหม่ ด้วยความสามารถของเรา เชื่อว่าจะไปสู่เป้าหมายปี 2563 ได้อย่างแน่นอน"

สำหรับผลการดำเนินการปี 58 บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (EBITDA) ที่แข็งแกร่ง และกระแสเงินสดที่โตขึ้นได้ด้วยต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงและการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) ลงลงเหลือ 0.75 เท่า จากเดิม 0.85 เท่า เมื่อปี 2557 นอกจากนี้หนี้สุทธิยังลดลงเหลือ 36 พันล้านบาท จากเดิม 40 พันล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายรวมในปี 2558 ธุรกิจปลาทูน่ายังคงมีส่วนแบ่งมากที่สุดโดยนับเป็น 37%ของยอดขายทั้งหมด ตามด้วยธุรกิจกุ้ง 29% ปลาแซลมอน 9% อาหารสัตว์ 7% ธุรกิจปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรล 6% และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่นๆ อีก 12%

ส่วนในปี 2559 จะมีการจัดหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่ง แบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ อาหารทะเลสำเร็จรูปพร้อมปรุง 47 เปอร์เซนต์ ธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 40% และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า และอื่นๆ 13%ทั้งนี้การจัดหมวดหมู่ใหม่นี้จะอธิบายถึงการเติบโตและแนวโน้มอัตราการทำกำไรของธุรกิจ โดยเน้นที่การตอบสนองช่องทางการจัดจำหน่ายหลักที่ต่างแตกกันของหมวดผลิตภัณฑ์เหล่านี้

โดยในปัจจุบัน ยอดขายจากแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของเราเองยังคงที่อยู่ที่ 41% ในปี 2558 ส่วนที่เหลือคือการผลิตขายแบบรับจ้างผลิต ในขณะเดียวกัน ตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเราที่ 42% ในปี 2558 ตามด้วยยุโรป 29% ตลาดในประเทศ 8% ญี่ปุ่น 6% และประเทศอื่นๆ รวมกันอีก 14%

ในขณะที่มีความท้าทายต่อยอดขายรวมในธุรกิจปลาทูน่า เนื่องด้วยการลดต่ำลงของราคาวัตถุดิบและการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น เรายังสามารถบริหารจัดการเพื่อผลกำไรให้ได้มากกว่าเมื่อปีก่อน ทางด้านธุรกิจกุ้งก็ประสบผลดีเช่นเดียวกัน ทางด้านธุรกิจล็อบสเตอร์ใหม่ของแบรนด์ ชิคเก้นออฟเดอะซี ผ่านทางบริษัท โอไรออน ก็ได้สร้างฐานการเป็นผู้นำตลาดในทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนธุรกิจที่โดดเด่นด้วยทั้งยอดขายรวมและกำไรสุทธิที่สูงขึ้นได้แก่ ธุรกิจปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน โดยได้ผลดีจากการเข้าควบซื้อกิจการคิง ออสการ์ และเมอร์อไลลันซ์ ช่วงปลายปี 2557 ทางด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงก็ได้ฟื้นฟูขึ้นจนทำกำไรขึ้นได้ภายหลังการปรับโครงสร้างบริษัท US Pet Nutrition ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2557

"จากผลประกอบการที่เข้มแข็งในปี 2558 ทางบริษัทจึงมีทัศนคติที่เป็นบวกสำหรับปี 2559 นี้ แม้สภาพเศรษฐกิจโลกจะพันผวนและผลกระทบที่ตามมาทางด้านราคาของสินค้าอุปโภคบริโภค...เราอยู่ในจุดที่พร้อมที่จะสร้างผลงานที่ดีในปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่เราสามารถใช้เป็นฐานในการเริ่มต้นสร้างความเจริญโตขึ้น"นายธีรพงศ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ