SGP คาดกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน ปริมาณขาย-ราคาเพิ่ม,นำเข้า LPG ขายในปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 7, 2016 11:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าระดับ 1.12 พันล้านบาทในปีที่แล้ว ตามปริมาณขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และราคาขาย LPG ที่เพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนการขยายตลาดเพิ่มด้วยการนำเข้า LPG เพื่อขายในประเทศรับนโยบายรัฐที่วางโรดแมพให้ธุรกิจ LPG เกิดการแข่งขันเสรีมากขึ้น โดยจะนำเข้า 4.4 หมื่นตัน/เดือนเป็นเวลา 6 เดือนเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ รวมถึงการเดินหน้าเพิ่มศักยภาพคลัง LPG ,ซื้อเรือขนส่งขนาดใหญ่ ตลอดจนการซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการขยายงานในอนาคต โดยจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท
"กำไรปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีก่อนซึ่งเป็นการคาดการณ์ ดีกว่าจากวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น และราคา CP (ตลาดโลก) ที่น่าจะเพิ่มขึ้น ราคาปีนี้น่าจะผ่านต่ำสุดไปแล้ว...อนาคตธุรกิจ LPG ก็จะเกิดการแข่งขันเสรีมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เราคล่องตัวขึ้น ตอนนี้เหมือนเราเต้นฟลุกเวิร์กอยู่แล้วในการเตรียมพร้อมทั้งกำลังเรือ กำลังรถ แล้วที่ดีที่สุดคือนโยบายแบบนี้เป็นข้อได้เปรียบของผู้ที่มีท่าเรือ มีคลังเก็บก๊าซฯ ทำให้เราสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วประเทศ"นางจินตณา กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

นางจินตณา กล่าวว่า สัปดาห์ก่อนบริษัททำหนังสือไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อขอนำเข้า LPG มาจำหน่ายในประเทศ โดยจะนำเข้า 2 ลำเรือ ลำเรือละ 2.2 หมื่นตัน/เดือน ในช่วงเวลา 6 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับ บมจ.ปตท.(PTT)เพื่อสรุปค่าการใช้บริการสาธารณูปโภคในการใช้คลัง LPG ระยะ 2 ของ ปตท.ที่จะแล้วเสร็จในช่วงดังกล่าว ซึ่งการนำเข้า LPG มาขายในประเทศนั้นจะสามารถทำมาร์จิ้นได้ดีเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ซื้อจาก ปตท.เพื่อขายในประเทศ นางจิณตนา กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้มีรายใหม่เป็นผู้นำเข้า LPG นอกเหนือจาก ปตท.เพราะต้องการให้ธุรกิจมีการแข่งขันเสรีมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ต้นทุนจริงที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายและเป็นการขยายตลาดของบริษัทมให้เพิ่มขึ้นด้วย

ขณะเดียวกันเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มนำเข้า LPG มาเพื่อการส่งออกไปแล้ว หลังจากได้รับอนุญาตให้คลัง LPG ที่บางปะกงเป็นคลังทัณฑ์บนจากกรมศุลกากร ทำให้สามารถส่งออกได้โดยได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้า LPG มาเพื่อส่งออกราว 2 พันตัน/เดือน และมีแผนขยายเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันตัน/เดือนราวปลายปีนี้ หลังจากการขยายขีดความสามารถของคลังแล้วเสร็จ เนื่องจากมองว่าตลาดส่งออก LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวอย่างมาก

ปัจจุบัน บริษัทส่งออก LPG ไปยังเมียนมาร์เป็นหลัก ก็เริ่มจะขยายไปยังกัมพูชา เพราะการขยายตลาดส่งออก LPG จะข่วยเพิ่มยอดขายรวมให้เติบโตดีขึ้นด้วย โดยจะเข้ามาชดเชยตลาด LPG ภาคขนส่งที่ยังมองว่าจะไม่เติบโตจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าปริมาณขาย LPG ในประเทศปีนี้จะเติบโตได้ 6.1% มาที่ระดับ 1.12 ล้านตัน คาดว่าจะเป็นการขายในภาคครัวเรือนสัดส่วนใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 59% ,ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเป็น 15% จาก 13% ในปีก่อน และภาคขนส่งคาดว่าจะลดลงจาก 28% ในปีก่อน ขณะที่บริษัทไม่มีนโยบายขยายสถานีบริการ LPG จากที่มีสถานีบริการที่เป็นเจ้าของเองราว 43-44 แห่ง ยกเว้นหากมีทำเลที่ดีก็อาจจะขยายเพิ่ม

SGP มีส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ LPG ในประเทศเป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 24% รองจาก บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ราว 36-38% และอันดับ 3 เป็นของ บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) ภายใต้แบรนด์ "เวิลด์แก๊ส" มีส่วนแบ่งตลาดราว 20% โดย SGP มีคลังน้ำมันในประเทศ 8 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศในพื้นที่สาธุประดิษฐ์ ,สุขสวัสดิ์ , บางปะกง ,สุราษฎร์ธานี 2 คลัง ,ลำปาง ,นครสวรรค์ และขอนแก่น ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนขยายขีดความสามารถขนาดบรรจุคลังทั้ง 8 แห่งเพิ่มเป็น 2.5 หมื้นตัน จากปัจจุบันที่มี 2 หมื่นตัน

นอกจากนี้ SGP ยังมีการลงทุนในต่างประเทศ โดยมีคลัง LPG ในจีน 2 แห่งรวม 3 แสนตัน, เวียดนาม 2 แห่งรวม 3 พันตัน และมาเลเซีย 2.2 พันตัน ขณะที่มีโรงบรรจุ LPG ในสิงคโปร์อีก 75 ตัน โดยปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนการขายในประเทศราว 38% และต่างประเทศราว 62% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน

นางจินตณา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขาย LPG รวมทั้งในและต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 3 ล้านตันในปี 59 จาก 2.8 ล้านตันในปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นยอดขายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีนที่ปีนี้คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 4.4% มาที่ระดับ 9.5 แสนตัน จากปีที่แล้วเติบโตมากราว 164% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลง แต่ยอดขาย LPG ไม่ได้ลดลงไปด้วยเนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องใช้มากในภาคครัวเรือน

ขณะเดียวกันตลาด LPG ในมาเลเซียก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนตลาดในเวียดนามยังคงทรงตัว ไม่หวือหวามากนัก

ด้านราคา LPG ในตลาดโลกปีนี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นจากระดับเฉลี่ย 426 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่ผ่านมา หลังราคาน้ำมันมีทิศทางที่ฟื้นตัวขึ้นและผันผวนเท่าปีก่อน มองว่าราคา LPG ในเดือน ก.พ.ที่ราว 300 เหรียญสหรัฐ/ตันน่าจะเป็นระดับต่ำสุดแล้วและจะค่อยๆฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนมี.ค.อยู่ที่ราว 305 เหรียญสหรัฐ/ตัน จะทำให้ความสามารถการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นด้วยเช่นกัน

"ปีที่แล้วเราก็มี stock loss แต่ไม่ได้ทำตั้วเลขแยกไว้ เพราะเรามีสินค้าไว้ขายอย่างน้อย 1 เดือน ถ้าราคา CP เดือนหน้าลงเราก็เจอ ถ้าขึ้นเราก็ได้ ซึ่งเราต้องพยายามรักษา inventory ไว้ ตอนนี้มีสต็อกประมาณ 1 เดือน ปีนี้ถ้าขึ้นลงขนาดนี้มาร์จิ้นที่บวกไว้ไม่มีปัญหา แต่อะไรที่หวือหวาเราไม่ชอบ ตอนนี้เราแข็งแกร่ง เราผ่านจุดเยือกแข็งมาแล้วไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไร"นางจินตณา กล่าว

นางจินตณา กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท โดยประมาณ 400-500 ล้านบาทเป็นงบลงทุนปกติทั่วไปเพื่อใช้ปรับปรุงและขยายขีดความสามารถของคลัง LPG ขณะที่งบลงทุนที่เหลือไม่เกิน 2 พันล้านบาทจะใช้ซื้อเรือขนาดใหญ่เพื่อใช้ทำธุรกิจต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีเรือขนาดใหญ่ราว 1-2 ลำ จากกองเรือทั้งหมดกว่า 20 ลำ โดยเรือขนาดใหญ่มีราคากว่า 1 พันล้านบาท/ลำ

นอกจากนี้ยังจะใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งสำหรับการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุนในต่างประเทศ โดยบริษัทอยู่ระหว่างรอการประกาศผลการประมูลคลัง LPG ขนาด 5 พันตัน และการทำธุรกิจเทรดดิ้ง LPG ในเมียนมาร์คาดว่าจะรู้ผลในเร็วๆนี้ รวมถึงยังมองการระหว่างเจรจาเพื่อซื้อกิจการ LPG ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เป็นการซื้อจากผู้ประกอบการเดิม การเข้าไปลงทุนอาจจะเป็นการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ท่ามกลางภาวะตลาด LPG ที่ยังขยายตัวมาก ส่วนในลาวกำลังพิจารณาอาจจะเข้าไปร่วมลงทุนในโรงบรรจุ LPG ขนาดเล็ก 1 แห่ง เนื่องจากตลาดในลาวยังมีไม่มากนัก

ส่วนเงินที่จะใช้ลงทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียน และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่อยู่ระดับ 2-3 พันล้านบาท/ปี โดยไม่จำเป็นต้องระดมเงินทุนเพิ่ม ส่วนที่จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นพิจารณาวงเงินออกหุ้นกู้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทในรอบการประชุมเดือนเม.ย.นี้ เป็นการขออนุมัติวงเงินหุ้นกู้เพื่อสำรองใช้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

นางจินตณา กล่าวอีกว่า บริษัทยังให้ความสนใจการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่น โดยได้ศึกษาเรื่องของธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) แต่ในส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ในช่วงที่ผ่านมามีผู้เข้ามาเสนอให้ร่วมลงทุนแต่บริษัทยังไม่มีความเชี่ยวชาญทำให้ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะลงทุนในธุรกิจดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ