PTTEP ศึกษาพลังงานทางเลือกชัดเจนปีนี้ หวังต่อยอดธุรกิจ,คงเป้าผลิต 6 แสนบาร์เรล/วันในปี 63

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 26, 2016 14:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กล่าวว่า ตามแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างความเติบโตยั่งยืนในระยะยาวนั้น บริษัทได้ศึกษาการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต ซึ่งรวมถึงพลังงานทางเลือก คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเสริมธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ยังคงมีเป้าหมายการผลิตและขายปิโตรเลียมให้ได้ระดับ 6 แสนบาร์เรล/วันภายในปี 63 จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 3.22 แสนบาร์เรล/วัน "เราศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง ธุรกิจเกี่ยวพันกับพลังงาน เพื่อเตรียมความพร้อม ถ้าดูเฉพาะการสำรวจและผลิตเพียงอย่างเดียวอาจจะแคบไปนิด การที่เรารู้จักพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือกอื่น ก็คิดว่าจะต่อยอดธุรกิจเราได้ ใช้ประสบการณ์ ความช่ำชองที่มีเป็นโอกาสในการขยายการลงทุน แต่ ณ วันนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาศึกษา...ธุรกิจ renewable เช่น ลม แสงแดด แร่ธาตุ แบตเตอรี่ มีหลายรูปแบบ ณ วันนี้ไม่ได้บอกว่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อม"นายสมพร กล่าว

นายสมพร กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้จัดตั้งทีมงานเพื่อศึกษางานด้านเทคโนโลยีต่างๆ โดยมุ่งเป้าหมาย 5 เทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการสำรวจปิโตรเลียม, การผลิตและสำรวจปิโตรเลียมในแหล่งขนาดเล็ก, การดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม, การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแหล่งน้ำลึก รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) และการผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (shale gas)

ทั้งนี้ การศึกษาธุรกิจพลังงานทางเลือกดังกล่าวอยู่ภายใต้กลยุทธ์ด้าน RENEW ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจบริษัท ซึ่งนอกเหนือจากพลังงานทางเลือกแล้ว ยังรวมถึงการดำเนินงานร่วมกับ บมจ.ปตท. (PTT) ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำนับเป็นโอกาสที่ดีทั้งการซื้อ LNG และการลงทุนใน LNG ซึ่งปัจจุบันโอกาสเปิดทั้งในอเมริกาเหนือ แคนาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกบริษัทจะต้องพยายามผลักดันโครงการผลิต LNG ในแหล่งโมซัมบิกให้เกิดขึ้นได้ก่อน เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีศักยภาพ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสรุปผู้ดำเนินโครงการดังกล่าวได้ภายในปลายปี 59 ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนการลงทุน 8.5% ขณะที่ปัจจุบัน PTT มีสัญญาซื้อ LNG จากแหล่งดังกล่าวแล้ว 2.6 ล้านตัน จากเป้าหมายการผลิต LNG ระยะแรกของโครงการ 2 สายการผลิตรวม 12 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในช่วงปี 63-64

นายสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอีก 2 ด้านได้แก่ RESET ซึ่งเป็นการปรับฐานทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน สร้างจิตสำนึกเรื่องการลดต้นทุน และรักษาระดับการผลิตเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยปีนี้บริษัทปรับลดค่าใช้จ่ายรวมลง 10% จาก 3.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับลดทั้งในส่วนของงบการดำเนินงาน และงบลงทุน แต่ภายใต้แผน 5 ปี (ปี 59-63) ยังคงงบค่าใช้จ่ายรวมที่ราว 1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งงบค่าใช้จ่ายรวมดังกล่าวไม่นับรวมการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A)

สำหรับเป้าหมายการลดค่าใช้จ่ายรวมในปีนี้ บริษัทมีเป้าหมายจะลดค่าใช้จ่ายรวมต่อบาร์เรล (unit cost) เหลือราว 34-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว และจะลดค่าใช้จ่ายส่วนเงินสดที่ใช้จริงต่อบาร์เรล (cash cost) ลง 10% จากราว 16 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว ขณะที่ยังคงเป้าหมายการผลิตและขายปิโตรเลียมในปีนี้ที่ระดับใกล้เคียงกับปีที่ก่อนที่ทำได้ 3.22 แสนบาร์เรล/วัน

"เราพูดถึงประสบการณ์ในปีที่แล้ว ถ้าราคาเฉลี่ยได้สูงกว่า 39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คือกำไร ถ้าเกิดต่ำกว่า 39 ก็เริ่ม book ขาดทุนแล้ว แต่ว่าพอขาดทุนแล้ว ยังเกิน cash cost บริษัทก็ยังต้องเลือกที่จะผลิตเพื่อเอาเงินสดเข้ามา"นายสมพร กล่าว

นายสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอีก 1 ด้าน คือ REFOCUS จะเน้นการลงทุนในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญ เพิ่มการลงทุนในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีในพื้นที่เหล่านี้มีโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่บริษัทมีการลงทุนในไทยและเมียนมาร์อยู่มากถึง 70-80% รวมถึงกลยุทธ์นี้จะผลักดันให้โครงการที่มีศักยภาพดำเนินการได้ตามเป้าหมาย เช่น โครงการโมซัมบิก

ขณะที่โครงการที่มีความเสี่ยงในการสำรวจก็อาจจะลดสัดส่วนการถือหุ้นด้วยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน เช่น โครงการในเมียนมาร์ ที่บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างสำรวจหลายโครงการ โดยถือหุ้นข้างมากในสัดส่วน 70-80% หรือบางโครงการถือหุ้น 100% ตลอดจนยังจะเพิ่มโอกาสการลงทุนในตะวันออกลาง โดยการสนับสนุนจากความสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐบาลต่อรัฐบาล

ปัจจุบัน บริษัทมีเงินสดในมือสูงถึงราว 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพได้ โดยมองว่าปีนี้โอกาสการทำ M&A มีมากขึ้น หลังคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะยืนอยู่ระหว่าง 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีที่แล้วที่มีความผันผวนของราคาน้ำมันมากทำให้การสรุปของกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายไม่ลงตัว

ขณะที่ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้น 22.2% ในแหล่งบงกชที่บริติช แก๊ส (บีจี กรุ๊ป) เสนอขายออกมานั้น ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา รวมถึงมองเป็นโอกาสการลงทุนมากขึ้นหลังมีข่าวว่าทางกลุ่มเชฟรอนจะขายสินทรัพย์ในเมียนมาร์ออกมาด้วย

นายสมพร กล่าวด้วยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการผลิตและขายปิโตรเลียมตามแผนกลยุทธ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 6 แสนบาร์เรล/วันภายในปี 63 ซึ่งจะมาจากการผลิตจากแหล่งปิโตรเลียมเดิม รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ และการสนใจเข้าร่วมประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่รัฐบาลกำลังจะเปิดสัมปทานรอบใหม่ในอนาคตด้วย ตลอดจนคาดว่าจะได้รับสิทธิในการบริหารจัดการแหล่งบงกชในอ่าวไทยที่ใกล้จะหมดอายุสัมปทานในช่วงปี 65-66

"ณ วันนี้เราอยากได้ความชัดเจนภายในปีนี้เพื่อจะได้สานความต่อเนื่อง ถ้าเราได้เป็นผู้ดำเนินการต่อก็จะได้ประเมินผลและขุดเจาะหลุมสำรวจมากขึ้น เข้าใจว่ารัฐบาลก็มองเรื่องของความต่อเนื่องและเร่งรัดให้จบโดยเร็ว"นายสมพร กล่าว

นายสมพร กล่าวว่า แหล่งบงกชนับเป็นแหล่งใหญ่ของประเทศ มีการผลิตราว 900 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน มากกว่าปริมาณการซื้อขายตามสัญญาที่ 870 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือคิดเป็นการผลิตราว 20% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศที่ 4,500-5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน บริษัทก็ต้องจะพยายามรักษาระดับการผลิตในระดับปัจจุบันให้ได้นานที่สุด โดยอาจจะขุดเจาะหลุมเพิ่มเติมที่คาดว่าจะสามารถผลิตได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น เพราะการลดกำลังการผลิตลงในช่วงที่สัญญาใกล้หมดอายุนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนัก

ส่วนการที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะเก็บรักษาปิโตรเลียมในประเทศไว้ในช่วงที่ราคาพลังงานต่ำ โดยจะใช้การนำเข้า LNG มาเป็นการทดแทนนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีหนังสืออย่างเป็นทางการออกมา อย่างไรก็ตามการซื้อขายปิโตรเลียมนั้น มีสัญญากำหนดรับซื้อปริมาณปิโตรเลียมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ