นายประพล พรประภา กรรมการ บมจ.ฐิติกร (TK) คาดว่า รายได้และกำไรของบริษัทในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,394.13 ล้านบาท และ กำไร 408.25 ล้านบาท โดยบริษัทมองว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าช่วงไตรมาส 1/59 ที่ระดับ 13.58% ซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อนที่ 12.03% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ดีขึ้น และบริษัทฯยังมีการปล่อยสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้นด้วย
ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อไว้ที่ 5% จากปี 58 ที่มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 7.25 พันล้านบาท ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังต้องมีการควบคุมในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ตั้งเป้าควบคุมให้อยู่ต่ำกว่า 5% จากช่วงไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้นมาที่ 5% ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/58 จากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ
"ปีนี้เราเชื่อมั่นว่ารายได้ และกำไรก็ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ตลาดรถจักรยานยนต์ที่เป็นสัดส่วนถึง 90% ของพอร์ตสินเชื่อบริษัทฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตจากปีก่อน 2-3% ซึ่งเป็นการกลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และในช่วงนี้ฝนก็เริ่มตกลงมาก็เชื่อว่าเกษตรกรจะมีรายได้ที่ดีขึ้น ในส่วนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ยังถือว่าเติบโตได้ดีอยู่ ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่เรายังเป็นห่วงเรื่องของการส่งออกว่าจะเติบโตได้หรือไม่ ซึ่งภาวะที่มีความเสี่ยงหลายๆด้านทำให้เรายังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วย"นายประพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 คาดว่าจะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่หลังจากที่ฝนเริ่มตก ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จึงเชื่อว่าความต้องการสินเชื่อก็ยังจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายประพล กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้อีกราว 1,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะพิจาณาความเหมาะสมของตลาดก่อน ซึ่งบริษัทฯจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้ออกหุ้นกู้ไป 600 ล้านบาทอาย 3 ปีอัตราดอกเบี้ย 2.15% โดยจำหน่ายไปแล้ว 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ และ เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
ในส่วนของงบลงทุนปีนี้ ยังคงไว้ที่ราว 20 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายสาขาในประเทศกัมพูชา 2 สาขาจากปัจจุบันที่ 1 สาขา ทำให้สิ้นปีน่าจะมีสาขาในต่างประเทศ 4 สาขา รวมสาขาที่ลาวอีก 1 แห่ง และขยายสาขาในไทยอีก 3-4 สาขาจากปัจจุบัน 88 สาขา ซึ่งทั้งสาขาในและต่างประเทศจะเริ่มเปิดได้ในช่วงช่วงครึ่งปีหลัง