PCSGH คาดรายได้-กำไรปีนี้ทรงตัวรับผลกระทบอุตฯยานยนต์ฟื้นช้า หันเพิ่มสัดส่วน Non Pickup

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 19, 2016 17:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประสงค์ อดุลยรัตนนุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง (PCSGH) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่า รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 4.14 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 541.73 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงรับผลกระทบจากภาวะอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศที่ยังชะลอตัว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวช้าส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ภายในประเทศและส่งออก และการสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกระแสรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (Passenger Car) และมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และมียอดขายที่ดี ทำให้บริษัทหันมารับงานในลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมากขึ้น โดยเริ่มได้รับความไว้วางใจให้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่มรถยนต์ Passenger Car เพิ่มเติมอีก 2 โครงการจากบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำ และอยู่ระหว่างการเจรจารับงานผลิตชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์เพิ่มเติมจาก 2 ค่าย ได้แก่ ไทร์อัมพ์ และ ฮาร์เลย์ เดวิสัน จากปัจจุบันที่ผลิตชิ้นส่วนให้กับค่ายดูคาติ แต่สัดส่วนยอดขายในกลุ่ม Non Pickup ยังมีอยุ่ไม่มาก เนื่องจากบริษัทเพิ่งเริ่มเข้ารับงาน

ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขายในกลุ่ม Non Pickup ในปัจจุบันอยู่ที่ 1.2% ส่วนกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทยังเป็นกลุ่มลุกค้ารถ Pickup ขนาด 1 ตัน ที่มีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 98.8%

“แนวโน้มในปีนี้คงยังไม่มีอะไรดีขึ้นจากปีก่อน เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการขายในประเทศและการส่งออก ลูกค้าก็มีการเลื่อนออเดอรืออกไปบ้าง โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมายอดคำสั่งผลิตลดลงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ส่วนแนวโน้มไผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้ก็คงใกล้เคียงกับไตรมาส 1 และแนวโน้มครึ่งปีหลังก็คงใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก"นายประสงค์ กล่าว

สำหรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ภายโรงงานบริษัทติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีขนาดกำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และรอรับการอนุมัติให้ผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าจะเริ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าโรงงานในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ราวปี 20 ล้านบาท/ปี ตลอดอายุโครงการ 25 ปี

อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเพิ่มจำนวนแผง Solar Rooftop บนหลังคาโรงงานที่ยังไม่ได้ติดตั้ง ซึ่งจะเพิ่มได้อีก 2 เมกะวัตต์ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนในการติดตั้งราว 70-80 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ