ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ EASTW ที่ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 14, 2016 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ซึ่งสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตลอดจนความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ และการมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอุปทานน้ำดิบ รวมถึงผลกระทบที่คาดเดาได้ยากจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ และความเสี่ยงจากการมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่หลากหลาย นอกจากนี้ กฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ไม่ชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังเป็นประเด็นกังวลต่อการดำเนินงานของบริษัทในอนาคตอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะดำรงความสามารถในการดำเนินธุรกิจและสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอได้ต่อไป เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงของบริษัทและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว อันดับเครดิตของบริษัทมีแนวโน้มที่จะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะ 12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ทำให้เกิดภาระหนี้สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงกว่า 50% อย่างต่อเนื่องยาวนานนั้นจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อคุณภาพเครดิตของบริษัท

EASTW ก่อตั้งในปี 2535 ตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ปัจจุบันบริษัทเน้นให้บริการน้ำดิบในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า และสังคมมากยิ่งขึ้น ในปี 2558 บริษัทสูบน้ำจากแหล่งน้ำดิบของบริษัทรวม 317 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยให้บริการส่งน้ำดิบคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 296 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งรวมถึงปริมาณน้ำดิบที่ป้อนสู่โรงงานผลิตน้ำประปาของบริษัทด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการน้ำประปาในเขตพื้นที่บริการอีก 12 เขตผ่านบริษัทลูก คือ Universal Utilities PLC (UU) โดยมีกำลังการผลิตรวม 361,660 ลบ.ม. ต่อวันด้วยเช่นกัน ณ เดือนพฤษภาคม 2559

ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 40.2% บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น 18.7% Norbax Inc., 13 ซึ่งถือหุ้น 5.7% และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งถือหุ้น 4.6% ในปี 2558 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วน 66% และมีรายได้จากธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 27% ของรายได้รวม

พื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นผลมาจากความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ จากการที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบเชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการมีโครงข่ายที่ครอบคลุมนั้นต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การจัดหาแหล่งน้ำถือเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทได้รับการอนุมัติจากกรมชลประทานให้สูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำ 4 แห่งของกรมชลประทาน นอกจากนี้ บริษัทยังสำรวจหาแหล่งน้ำใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและลดความเสี่ยงจากสภาวะภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ แหล่งน้ำใหม่ ๆ ที่จะนำมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับการอนุมัติของกรมชลประทานและยังมีแนวโน้มต้นทุนที่สูงขึ้นเนื่องจากอยู่ห่างไกลมากขึ้น ทั้งโครงข่ายท่อน้ำดิบที่สมบูรณ์และข้อจำกัดของแหล่งน้ำทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่รายเนื่องจากยอดขายน้ำให้แก่ กปภ. และ กนอ. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทมีสัดส่วนถึงประมาณ 65%-70% ของยอดขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการใช้น้ำดิบมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกรวมทั้งความต้องการที่สูงขึ้นของกลุ่มผู้บริโภคซึ่งมีความผันแปรไปตามสภาพเศรษฐกิจ ในปี 2558 บริษัทมีรายได้จากการขายน้ำดิบ 2,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% จากปีก่อนหน้า ด้วยปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบที่เพิ่มขึ้น 5.3% รวม 270.7 ล้าน ลบ.ม. การเติบโตดังกล่าวมาจากกลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรมต่างก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในไตรมาสแรกของปี 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายน้ำดิบลดลง 5.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 700 ล้านบาท จากปริมาณจำหน่ายน้ำดิบที่ลดลง 5.9% ทั้งนี้ มีสาเหตุมาจากผลกระทบเรื่องภัยแล้งและข้อจำกัดของท่อน้ำดิบที่ใช้รองรับอุปสงค์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการวางท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ เส้นที่ 2 เสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2559 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสูบส่งน้ำในพื้นที่ดังกล่าว

รายได้จากธุรกิจจำหน่ายน้ำประปาของบริษัทเติบโต 17.3% ในปี 2558 โดยมีรายได้รวม 1,160 ล้านบาท และเติบโต 34.5% ด้วยรายได้รวม 345 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2559 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการซื้อกิจการของ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) โดย UU ในเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งถ้าไม่รวมรายได้ของบริษัทเอ็กคอมธาราแล้ว รายได้จากธุรกิจน้ำประปาของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 6.1% ในปี 2558 และคิดเป็น 2.3% ในไตรมาสแรกของปี 2559 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ธุรกิจให้บริการน้ำประปาจะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็มีโอกาสในการขยายตัวในอนาคตในระดับต่ำเนื่องจาก กปภ. ไม่มีนโยบายเปิดประมูลสัมปทานใหม่หรือให้เอกชนดำเนินการแทน ดังนั้น โอกาสในการขยายธุรกิจน้ำประปาของบริษัทคือการหาสัมปทานกิจการประปาโดยตรงจากเทศบาลหรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ

ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทมาจากอัตรากำไรที่ดีและกระแสเงินสดที่แน่นอน บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ในระดับสูงกว่า 54% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนและการซื้อบริษัทเอ็กคอมธารา โดยบริษัทได้ใช้เงินกู้ระยะสั้น 1,600 ล้านบาทในการซื้อหุ้นของบริษัทเอ็กคอมธารา 74% ในปี 2558 บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจาก 5,450 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 8,202 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 39.02% ในปี 2557 เป็น 45.35% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ทั้งนี้ UU มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2559 หรือในไตรมาสแรกของปี 2560 และจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้จากการซื้อบริษัทเอ็กคอมธาราซึ่งจะช่วยให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน UU จะลดลงแต่ไม่น้อยกว่า 55% หลังจาก UU ขายหุ้นเพิ่มทุน

สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับดีแม้ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้น ในไตรมาสแรกของปี 2559 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ 22.29% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 14.71 เท่า

ในช่วงปี 2559-2561 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโต 3%-5% ต่อปีจากอุปสงค์ที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องของทั้งน้ำดิบและน้ำประปา และอัตรากำไรของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 54% ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระจำนวน 2,300 ล้านบาท รวมหนี้ของ UU จำนวน 1,600 ล้านบาท เงินลงทุนตามแผนจำนวน 1,500-2,000 ล้านบาท และเงินปันผลจ่ายที่คาดว่าจะอยู่ที่อีกประมาณ 800-900 ล้านบาท โดยแหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2,000 ล้านบาท เงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 จำนวน 1,016 ล้านบาท และวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคาร 1,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเงินที่คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุนของ UU อีก 1,000-1,600 ล้านบาทด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ