PERM มั่นใจปีนี้พลิกกำไรจากเป้ารายได้โต 10% ตามปริมาณขาย-ราคาเหล็กเพิ่ม,รง.ใหม่ผลิตสินค้าเหล็กแปรรูปหนุนมาร์จิ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 29, 2016 15:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชูเกียรติ ยงวงศ์ไพบูลย์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เพิ่มสินสตีลเวิคส์ (PERM) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะพลิกมีกำไรสุทธิจากที่ขาดทุนสุทธิ 263.74 ล้านบาทในปีที่แล้ว หลังไตรมาสแรกทำกำไรแล้วเกือบ 100 ล้านบาท ไตรมาส 2 แม้กำไรอาจจะชะลอลงแต่ไตรมาส 3 ยังมีคำสั่งซื้อราคาเดิมเข้ามาเพิ่มเติมอีก โดยวางเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เติบโต 10% จาก 4,595 ล้านบาท จากปริมาณขายเหล็กที่คาดว่าจะเติบโต 10% ตามปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง

สำหรับปริมาณขายในปีนี้ จะมาจากเหล็กรีดร้อนปีนี้น่าจะเกิน 1.4 แสนตัน จาก 1.3 แสนตันในปีก่อน ,เหล็กเคลือบ 6 หมื่นตัน และเหล็กหลังคา 3 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งการขายในครึ่งแรกก็เป็นไปตามเป้าแล้ว โดยลูกค้าหลักเป็นภาคเอกชนในประเทศ อีกทั้งบริษัทได้ขยายกำลังการผลิตโรงงานประเภทเหล็กท่อ และเหล็กหลังคาที่ฉีดฉนวนกันความร้อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นเหล็กแปรรูปซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยหนุนมาร์จิ้นด้วย ส่วนงานภาครัฐยังไม่รวมในประมาณการเนื่องจากงานประมูลจากภครัฐยังไม่มีความชัดเจน แต่บริษัทก็ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลด้วย เช่น หากโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 เปิดประมูล ก็จะเข้าร่วมประมูลในส่วนของหลังคาเหล็ก หลังจากบริษัทเคยได้งานบางส่วนของการพัฒนาโครงการเฟส 1 มาแล้ว ตลอดจนยังติดตามงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงด้วย อย่างไรก็ตามระหว่างนี้บริษัทก็จะเน้นประมูลงานทั่วไป โดยเฉพาะงานโมเดิร์นเทรดในประเทศ จากร้าน GLOBAL ไทวัสดุ แม็คโคร ที่น่าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องตามการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาทั่วประเทศของโมเดิร์นเทรด นายชูเกียรติ กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 ทั้งรายได้และกำไรคาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1/59 ที่รายได้ 1,300 ล้านบาท และกำไร 99.14 ล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กสวิงลงหลังจากที่ในไตรมาสแรกราคาเหล็กรีดร้อนปรับขึ้นไปที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ก่อนจะอ่อนตัวลงมาบริเวณ 500 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันในไตรมาส 2 ขณะที่ประเมินว่าครึ่งปีหลังราคาน่าจะทรงตัวบริเวณ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ไม่น่าจะลงกว่านี้เพราะจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ยังมีการควบคุมส่งออกและการผลิตเหล็กอยู่

"ไตรมาส 2 รายได้ drop นิดหนึ่งเพราะปลายไตรมาส 2 เป็นช่วงหน้าฝนปกติอุตฯเหล็กหน้าฝนยอดขายจะชะลอ แต่จะไปดีครึ่งปีหลัง ปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ที่คาดว่าจะโต 10% เพราะผ่านครึ่งปีไปแล้วราคาเหล็กก็ปรับตัวสูงขึ้น ปริมาณการใช้ก็เพิ่มขึ้น จึงมองทั้งปีน่าจะได้ตามเป้า 10% และมั่นใจพลิกกำไรเพราะไตรมาส 1 กำไรแล้ว 99 ล้านบาท ไตรมาส 2 ก็ยังเป็นกำไร ส่วนงานภาครัฐปีนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ยังไม่มั่นใจว่าปีนี้จะมี แต่ถ้ามีเปิดประมูลเราก็มั่นใจไม่น่าจะหลุดมือ"นายชูเกียรติ กล่าว

นายชูเกียรติ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทไม่ต้องลงทุนขนาดใหญ่เพราะปีที่ผ่านมาได้ลงทุนโรงงานแห่งใหม่ สร้างอาคารโรงงาน และการซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มสายการผลิตในผลิตภัณฑ์แผ่นหลังคาเหล็ก ที่มีการขยายกำลังการผลิตหลังคาเหล็กอีก 8,000 ตร.ม./เดือนเสร็จแล้ว ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30% จากปี 58 และซื้อเครื่องจักรทำโรงผลิตท่อเหล็ก เป็นเครื่องรีดท่อ กำลังผลิต 1 หมื่นตัน/เดือน ทั้ง 2 ไลน์การผลิตเริ่มผลิตแล้ว

"ในปีนี้เราจะใช้ผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กฉีดฉนวนกันความร้อนบุกตลาด เพราะเป็นเทคโนโลยีชั้นสูง ออร์เดอร์ก็ดี โดยในประเทศเรามีส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 มากกว่า 50% เป็นโอกาสดีที่เราจะขยายมากขึ้น ขณะนี้มีแผนบุกตลาดออสเตรเลียเพราะเรานำเข้าเหล็กจากออสเตรเลีย ซึ่งลูกค้าก็สนใจหลังคาเหล็กฉีดฉนวนกันความร้อน เริ่มมีออเดอร์เข้ามาแล้วเพราะทางโน้นเป็นเมืองร้อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังมีความต้องการสูงเพราะไม่มีอะไรทดแทนฉนวนกันความร้อนได้ เป็นผลิตภัณฑ์แผ่นหลังคาซึมซับเสียง คุมอุณหภูมิความร้อนสะท้อนเข้ามา และควบคุมเย็นได้ดีมาก จึงเป็นโอกาสต้องรีบขยายตลาดเพราะผู้ผลิตน้อย ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์นี้ราว 25% ก็อยากจะเพิ่มขึ้น โรงงานทั้ง 2 แห่งที่ขยายและเพิ่มกำลังการผลิตคาดจะสามารถรองรับได้อีก 2 ปี ส่วนโรงงานรีดท่อก็น่าจะดีเพราะเรามีต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาเดิมอยู่เป็นราคาตั้งแต่ไตรมาส 1"นายชูเกียรติ กล่าว

ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 6-7% และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิน่าจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 2/59 มาอยู่ที่ 3-4% เพราะราคาเหล็กในจีนสวิงตัว ขณะที่ลูกค้าในประเทศชะลอคำสั่งซื้อไปหลังราคาเหล็กสวิงตัวมาก แต่ล่าสุดปัจจุบันก็เริ่มมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาแล้วหลังผู้ใช้เริ่มมั่นใจในสถานการณ์

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากเหล็กรีดร้อน 50% เหล็กหลังคา 25% ส่วนอีก 10% เป็นเหล็กสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปีนี้ไม่ค่อยดีนักแต่ก็คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 60 อย่างไรก็ตามปีนี้ยังมีรายได้จากโรงงานผลิตท่อเหล็กเข้ามาเพิ่มรายได้ และหลังคาเหล็กฉีดฉนวนกันความร้อน ตอนนี้มีงานในมือเดือนต่อเดือน

ทั้งนี้ หากปีนี้มีกำไรสุทธิก็จะสามารถล้างขาดทุนได้หมด ก็จะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบาย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทด้วยว่าจะพิจารณาอย่างไร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ