(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้มีโอกาสปรับลงตามตลาดภูมิภาค หลังกลับมากังวลผลกระทบ Brexit อีกครั้ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 6, 2016 09:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลง เนื่องจากตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างก็ติดลบเกิน 1% ทำให้มากดดันตลาดหุ้นไทยด้วย เป็นผลจากความกังวลผลกระทบจากกรณีที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) กลับมาอีกครั้ง ภายหลังจากที่รายงานเสถียรภาพการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ออกมาแสดงให้เห็นว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากผลกระทบ Brexit

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับตัวขึ้นไปหลายวันแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ปัจจัยในประเทศก็ยังน่าจะช่วยหนุนได้บ้าง จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวหลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น และดัชนีฯยืนได้ที่ระดับ 1,450 จุดทำให้น่าจะมีเงินทุนเข้ามาหมุนเวียนในตลาดฯมากขึ้น รวมถึงน่าจะมีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรตามผลประกอบการด้วย ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดฯประคองตัวได้ และอาจจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ

พร้อมให้แนวรับ 1,435 จุด ส่วนแนวต้าน 1,450 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 ก.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,840.62 จุด ร่วงลง 108.75 จุด (-0.61%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,822.90 จุด ลดลง 39.67 จุด (-0.82%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,088.55 จุด ลดลง 14.40 จุด (-0.68%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 234.87 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 7.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 275.32 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 42.54 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 9.74 จุด

ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์, ตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 ก.ค.59) 1,450.07 จุด ลดลง 4.49 จุด (-0.31%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,241.26 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 ก.ค.59
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 ก.ค.59) ปิดที่ 46.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.39 ดอลลาร์ หรือ 4.9%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ก.ค.59) ที่ 5.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.22/24 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง มองกรอบ 35.20-35.30
  • ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุม กกร.มีมติปรับลดประมาณการมูลค่าส่งออกในปี 2559 เป็นติดลบ 2-0% จากเดิมที่ประเมินไว้ 0-2% เนื่องจากในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2559 การส่งออกหดตัวกว่า 1.9%
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน มิ.ย. 2559 พบว่า ดัชนีปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 49.7 จุด มาอยู่ที่ระดับ 50.4 จุด เป็นการปรับเพิ่มขึ้นเดือนแรกในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2558 อยู่ที่ 50.2 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวเป็นสำคัญตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มการผลิตเหล็ก และผลิตภัณฑ์โลหะขั้นมูลฐาน ที่คลายความกังวลด้านต้นทุนประกอบการ จากการปรับลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก หลังจากขึ้นไปสูงมากในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านการผลิตและผลประกอบการปรับดีขึ้น
  • "ศุภวุฒิ สายเชื้อ" กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า ผลจากการที่สหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) ยังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยคงประมาณการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ 2.8% และปีหน้า 3.2% แต่จะมีการทบทวนจีดีพีปีหน้าในช่วงปลายปีอีกครั้ง ว่าจะยังคงเป็นไปได้หรือไม่ หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเสร็จสิ้น เพราะหากประธานาธิบดีคนใหม่มีนโยบายกีดกันการค้าก็จะเป็นความเสี่ยงต่อจีดีพีไทยที่พึ่งพิงการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนยาก ทำให้การส่งออกยากลำบากขึ้น
  • ธปท.คลายกฎเพิ่มเติมตามแผนแม่บท 2 มีผลบังคับใช้เดือน ก.ค.นี้ 2 เรื่องหลัก เปิดทางให้ศูนย์บริหารเงินสามารถระดมทุนตราสารสกุลเงินตราต่างประเทศใน-นอกประเทศได้ อีกทั้งลงทุนตราสารสกุลเงินตราต่างประเทศออกในประเทศได้เช่นกัน ขณะเดียวกันอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถเลือกลงทุนต่างประเทศไม่ผ่านตัวแทนหรือตัวแทนได้
  • เคาะงบประมาณปี 60 จ่ายหนี้ประเทศ วงเงิน 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2 หมื่นล้านบาท เพื่อความมั่นคงทางการคลัง

*หุ้นเด่นวันนี้

  • THAI (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดผลประกอบการ 2Q59 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์จากราคาน้ำมันในช่วงต้น 2Q59 ที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ THAI ยังได้รับผลบวกจากการท่องเที่ยวที่ยังแรงต่อเนื่องโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย และต้นทุนลดลงจากการปฏิรูปองค์กรในปี 58
  • SYNTEC (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 3.70 บาท ช่วง 2Q59 คาดกำไรโตสดใส YoY จากรับรู้งานที่มีมาร์จิ้นดีขึ้น และคาดทั้งปี 59 กำไรปกติโต 11%YoY หนุนโดย Backlog ในมือ 9.8 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 60 ขณะที่มีงานระหว่างประมูลอีก 19 โครงการ มูลค่า 1.15 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดรู้ผลบางส่วนในช่วง 1-2 เดือนนี้ และ Upside 23%
  • STEC (ไอร่า) เป้า 29 บาท คาดเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับลดลงตามภาวะตลาดฯ ภายใต้ปัจจัยบวกจากความชัดเจนในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐหลังจากนี้เป็นต้นไป เช่น รถไฟฟ้าทั้งสีชมพู สีเหลือง และสีส้ม เป็นต้น รวมถึงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่ง STEC มีความถนัดและรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง SPP และ IPP ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา คาดเป็นโอกาสของ STEC ในการเข้าประมูล โดยเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพในการทำกำไร ขณะที่ Backlog ที่มีอยู่ล่าสุดประมาณ 53,000 ล้านบาท ยังเพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า และในเชิงพื้นฐาน STEC ยังมีจุดเด่นจากความแข็งแกร่งทางการเงิน อยู่ในฐานะที่เป็น Net Cash คาดมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ทั้งอำนาจในการเจรจาต่อรองกับ Supplier และการเข้าประมูลงาน
  • K (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" เป้า 6.20 บาท แนวโน้มกำไร 2Q59 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่คาดก่อนหน้านี้ คือ 16-19 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 3.7 ล้านบาทใน 2Q58 และโต 15-35% Q-Q แนวโน้ม 3Q59 จะเป็น peak ของปีนี้หลังได้งานเพิ่ม 60 ล้านบาทในเดือน มิ.ย. ทำให้ Backlog เพิ่มเป็น 550 ล้านบาท รับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมดและส่วนใหญ่เข้าใน 3Q59 และมีโอกาสลุ้นงานใหญ่ 200-300 ล้านบาท รู้ผล 1-2 เดือนข้างหน้า กำไรปีนี้ที่คาด 62 ล้านบาท +19% Y-Y มีโอกาสทะลุเป้า ปัจจุบัน K มี PE 16 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 25 เท่า และต่ำกว่าราคา IPO ที่ 5.80 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ