ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ EA วงเงินไม่เกิน 1 พันลบ.ที่ “A-", วงเงินไม่เกิน 7 พันลบ. ที่ “AA"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 14, 2016 13:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่ระดับ “A-" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “AA" โดยหุ้นกู้ทั้งหมดค้ำประกันโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+" จาก S&P Global Ratings และ “Baa1" จาก Moody’s Investor Services (Moody’s)

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 8,000 ล้านบาทที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559 เนื่องจากบริษัทตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการค้ำประกันของหุ้นกู้ ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ ในขณะที่เงินส่วนที่เหลือจะสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน

ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกัน ธนาคารไทยพาณิชย์จะค้ำประกันการจ่ายเงินในสัดส่วน 65% ของมูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน และเต็มจำนวนของมูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้มีการค้ำประกัน แบบไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานความน่าเชื่อถือของธนาคารไทยพาณิชย์ โดยภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ของผู้ค้ำประกัน

สถานะเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์มีปัจจัยสนับสนุนโดยสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง จากการเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไทย โดย ณ เดือนมีนาคม 2559 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางตลาดของสินเชื่อ 17% และเงินรับฝาก 18% ธนาคารมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ ตลอดจนมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายและคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม สถานะเครดิตของธนาคารมีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์และจำกัดการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร

อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนยังสะท้อนถึงอันดับเครดิตของบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมถึงการเป็นผู้ประกอบธุรกิจไบโอดีเซลรายใหญ่ของประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงในการก่อสร้างและการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม รวมถึงประวัติผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ยังสั้นของบริษัทและโครงสร้างเงินทุนที่มีเงินกู้สูงจากแผนการลงทุนของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทจะยังคงสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 79% และประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 2 โครงการ ทั้งนี้ หากมีการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตคาดว่าบริษัทจะมีการเพิ่มทุนเพื่อรักษาโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมไว้ได้ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม อย่างไรก็ตาม เมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานลมเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าและมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่คาดได้อย่างยั่งยืนก็จะส่งผลดีต่ออันดับเครดิตของบริษัท อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลประกอบการของโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญทำให้ไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากธุรกิจไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องหรือหากสถานะการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากเงินกู้จำนวนมาก

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งได้รับอันดับเครดิตในระดับสากล (International Scale) ที่ระดับ “BBB+/Stable" จาก S&P Global Ratings และ “Baa1/Stable" จาก Moody’s ส่วนอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของทั้งผู้ค้ำประกันและบริษัท โดยอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันหรือบริษัท

บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เดิมชื่อ บริษัท ซันเทค ปาล์มออยส์ จำกัด บริษัทก่อตั้งในปี 2549 เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซล ต่อมาบริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2551 และในช่วงปลายปี 2555 บริษัทเริ่มขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน โดยเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2556 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ นายสมโภชน์ อาหุนัย ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 43% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท

ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าที่มีการจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 278 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 386 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,100 ล้านบาท โดย 90% มาจากผลประกอบการของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ และลำปาง

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าโดยเฉลี่ยสูงกว่าประมาณการราว 11% ที่ความน่าจะเป็นที่ 90% หรือ P90 อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงการที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจการผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลภายในประเทศ อัตราการใช้กำลังการผลิตปรับเพิ่มขึ้นและผลกำไรที่ดีขึ้นอย่างมั่นคง ธุรกิจไบโอดีเซล มี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 560 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558

อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหาดกังหัน (HKH) ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาอยู่ที่ 126 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน (HNM) ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาอยู่ที่ 260 เมกะวัตต์ บริษัทคาดว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม HKH และ HNM จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในช่วงกลางปี 2559 และปี 2561 ตามลำดับ การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมมีความเสี่ยงที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ ความซับซ้อนจากการก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์หลักซึ่งส่งผลต่อความเสี่ยงของงบประมาณลงทุนและความล่าช้าของโครงการ การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังมีความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของความแรงของกระแสลมมากกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้และเสถียรภาพของกระแสเงินสดจากโครงการ

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทถือว่ามีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าในรูปแบบของสินเชื่อโครงการ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทสูงขึ้นจาก 58.2% ณ สิ้นปี 2556 มาอยู่ที่ 72.3% ณ สิ้นปี 2558 และที่ 71.4% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ตามความคืบหน้าของการลงทุน อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดจากภาระหนี้สินในระดับสูงนี้ถูกลดทอนไปบางส่วนจากกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีความแน่นอนและคาดการณ์ได้

ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในช่วง 50%-55% ในระหว่างปี 2559-2562 เนื่องจากบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งมี EBITDA Margin ที่สูงกว่าธุรกิจไบโอดีเซล อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะมี EBITDA Margin ที่ต่ำกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากได้รับ Adder ที่น้อยกว่าและมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงกว่า ในช่วงอีก 4 ปีข้างหน้า คาดว่า EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หลังจากที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมของบรษัททั้ง 2 โครงการเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าและบริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาที่ดำเนินงานอยู่ทั้งหมด 664 เมกะวัตต์ หลังจากนั้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปคาดว่า EBITDA จะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากการทยอยหมดอายุของ Adder ในช่วงปี 2559-2562 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจนถึงระดับ 60%-65% เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทเริ่มดำเนินการและมีผลประกอบการเป็นไปตามที่คาดไว้ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 15%-20%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ