โบรกฯแนะ"ซื้อ"TOP มอง Q2/59 โดดเด่นรับอานิสงส์กำไรสต็อกน้ำมัน,ไฟฟ้า-สเปรดปิโตรฯดีหนุน H2

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 28, 2016 14:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) หลังมองแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 จะเติบโตโดดเด่นราว 6.9 ถึงกว่า 7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน รับอานิสงส์กำไรจากสต็อกน้ำมันในช่วง 3.7-4 พันล้านบาท ช่วยชดเชยค่าการกลั่น (GRM) ที่อ่อนตัวลงจากระดับอุปทานและสต๊อกน้ำมันคงคลังในภูมิภาคเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 2/59 ผลักดันให้กำไรงวดครึ่งปีแรกพุ่งไปกว่า 1 หมื่นล้านบาท แม้แนวโน้มผลกำไรในงวดครึ่งหลังของปีนี้อาจจะทำไม่ดีเท่ากับครึ่งปีแรก จากค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มทรงตัว และกำไรจากสต็อกน้ำมันที่จะลดลงหลังมองระดับราคาน้ำมันยังทรงตัว แต่มองว่า Downside ของค่าการกลั่นที่ค่อนข้างจำกัด และส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

และการเปิดเดินเครื่องผลิตของโรงไฟฟ้า SPP ทั้งสองแห่งที่จะรับรู้ผลประโยชน์เต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะช่วยหนุนผลกำไรในครึ่งปีหลัง ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงมาสะท้อนค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงบ้างแล้ว ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) สูงกว่า 4% จึงน่าสนใจในการลงทุน

ราคาหุ้น TOP ปิดภาคเช้าวันนี้ที่ 61 บาท ลดลง 0.50 บาท (-0.81%) นับแต่ต้นปีราคาหุ้นลดลง 6.8% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 17.92%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                   ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                        70
          ฟิลลิปฯ                       ทยอยซื้อ                    71
          แอพเพิล เวลธ์                 ซื้อ                        72
          แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์              ซื้อ                        75
          ทรีนีตี้                        ซื้อ                        74.54
          เคทีบีฯ                       ซื้อ                        70

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"หุ้น TOP หลังมองกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 เพิ่มขึ้นมากมาที่ราว 6.9 พันล้านบาท เติบโต 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 46.5% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และการบันทึกส่วนกลับของ NRV (Net Realizable Value) ราว 4.7 พันล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 4.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับ 6.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาสแรก อีกทั้งยังรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ขนาด 124 เมกะวัตต์ (MW) ที่เปิดดำเนินการเมื่อต้นเดือน เม.ย.ช่วยหนุนกำไรในไตรมาสนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ผลกำไรของบริษัทอาจจะอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เพราะหากทิศทางราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันก็จะทำให้มีกำไรจากสต็อกไม่มากนัก อีกทั้งค่าการกลั่นมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงหลังหมดช่วงฤดูการขับรถท่องเที่ยว (driving season) ส่งผลให้ส่วนต่างของผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินอ่อนตัวลง แต่ส่วนของน้ำมันดีเซล ,น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันเตาที่ปรับตัวดีขึ้น โดยค่าการกลั่น ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะได้รับแรงหนุนจากโครงการโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 115 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการในเดือนมิ.ย.ทำให้รับรู้รายได้โครงการ SPP ทั้ง 2 โครงการเต็มที่รวม 239 เมกะวัตต์ในครึ่งปีหลัง และโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ที่อาจจะเริ่มมีรายได้จากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นช่วยพยุงผลกำไรในครึ่งปีหลังได้บ้าง

ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิของ TOP ในปีนี้ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% จากปีก่อน แต่มีแนวโน้มปรับประมาณการขึ้น หากกำไรในไตรมาส 2 ออกมาตามคาดซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 1.16 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 82% ของกำไรที่ประมาณการ

ด้านนักวิเคราะห์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"หุ้น TOP จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 อยู่ในระดับที่ดีมากหลังคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 4 พันล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากค่าการกลั่นที่ลดลงได้ และจะผลักดันให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เติบโตมาที่ราว 7 พันล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในระยะต่อไปจะมาจากสเปรดของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก เนื่องจากยังไม่มีการขยายโครงการใหม่ ๆ หลังได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการผลิตสาร LAB วัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้าง และโรงไฟฟ้า SPP 2 แห่งครบหมดแล้วในปีนี้

ส่วนแนวโน้มผลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็คาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่ดี จากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่ดีขึ้นจากช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวในสหรัฐฯจะช่วยหนุนการใช้น้ำมันเบนซินในไตรมาส 3 และฤดูหนาวที่รุนแรงจะช่วยหนุนการใช้ heating oil มากขึ้นในไตรมาส 4 นอกจากนี้การเปิดผลิตของโครงการ LAB และโรงไฟฟ้า SPP จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ด้วย

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรสุทธิช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อาจชะลอจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่น่าจะน้อยกว่าช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม หากกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 เป็นไปตามคาดที่ 7 พันล้านบาท ก็จะทำให้งวดครึ่งแรกปีนี้กำไรสุทธิจะสูงถึง 1.17 หมื่นล้านบาท ดังนั้น กำไรสุทธิทั้งปีนี้ที่ประเมินไว้ระดับ 1.37 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีที่แล้วนั้น น่าจะต่ำเกินไปมาก จึงมีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการขึ้นสะท้อนกำไรสต๊อกน้ำมัน และแนวโน้มส่วนแบ่งกำไรจากบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่ถือหุ้นอยู่ 29.70% นั้นอาจสูงกว่าคาด

ด้าน Downside ค่าการกลั่นมองว่าค่อนข้างจำกัด แม้จะอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 2/59 มาอยู่ระดับ 4.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ขณะนี้ค่าการกลั่นขยับขึ้นมาที่ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวจากกลุ่มน้ำมันดีเซลและอากาศยาน ขณะที่อุปสงค์ของน้ำมันเบนซินยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ คาดว่าในไตรมาส 4/59 จะมีปัจจัยหนุนความต้องการใช้และส่วนต่างราคาของน้ำมันดีเซลและอากาศยาน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ TOP จากปรากฏการณ์ La Nina ด้วย

สำหรับค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นช่วงก่อนหน้า แต่มองโอกาสการปรับลงของค่าการกลั่นจำกัดมากขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยบวกช่วงไตรมาส 4/59 ดังนั้น การปรับลงมาของราคาห้นทำให้มี PE เพียง 9.4 เท่าและ PBV 1.3 เท่า และคาด Dividend yield 4.3% ทำให้ปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ" จากเดิม "ถือ" แต่คงราคาเป้าหมายเดิม 70 บาท

บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่าแม้ว่าช่วงที่เหลือของปีของ TOP จะมีแนวโน้มค่าการกลั่นอาจจะไม่โดดเด่นอย่างในครึ่งแรกของปีนี้ รวมทั้งไม่น่ามีกำไรสต๊อกมากอย่างอย่างที่ผ่านมา แต่สเปรดผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ขยับตัวสูงขึ้นจากความต้องการผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอย่างโพลีเอสเตอร์ สูงขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาล และคาดจะรับรู้การเดินเครื่องของโรงไฟฟ้า SPP เข้ามาเต็มไตรมาส ทำให้ปรับประมาณการกำไรของปี 59 ขึ้น 23% มาที่ 1.59 หมื่นล้านบาท จึงแนะนำ "ทยอยซื้อ" โดยมีราคาพื้นฐาน 71 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 70 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ