นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลประกอบการของ BCP มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ราคาน้ำมันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะไม่เกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก ในขณะเดียวกัน BCP ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้นจะช่วยให้อัตรากำไรสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังจะช่วยให้ผลประกอบการเติบโต ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าสิ้นปีนี้จะขึ้นไปเป็น 220 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 70%
"สำหรับธุรกิจหลักมองว่าราคาน้ำมันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคงจะไม่เกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำก็จะเป็นผลดีต่อความต้องการ และค่าการกลั่น ในขณะเดียวกันธุรกิจไฟฟ้าก็ยังจะมาช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้นอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังเรื่องของราคาน้ำมันที่มีความผันผวนอยู่"นายกวี กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากผลประกอบการไตรมาส 2/59 ของ BCP ออกมาแล้วจะมีการปรับราคาเป้าหมายอีกครั้ง แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายเป็น 34.50 บาท
ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/59 จะอยู่ที่ 2,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากระดับกำไร 46.6 ล้านบาทในไตรมาส 1/59 โดยเป็นผลจากการกลับมาเดินเครื่องโรงกลั่นหลังหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสแรก และพลิกมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 897 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรายการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ กำไรอัตราแลกเปลี่ยนราว 250 ล้านบาท
ในด้านของกำไรปกติคาดว่าจะฟื้นตัวเด่นกว่ากลุ่ม โดยคาดจะมีกำไรจากการดำเนินงานราว 1,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% จากไตรมาส 1/59 เป็นผลมาการกลั่นน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.12 แสนบาร์เรล/วัน หลังจากที่ในช่วงไตรมาสแรกได้หยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันเป็นเวลา 45 วัน นอกจากนี้ค่าการกลั่นยังปรับตัวขึ้น 5% จากไตรมาสแรกมาอยู่ที่ 5.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาลดลง ขณะที่ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ส่วนต่างราคาน้ำมันเครื่องบินและดีเซลกว้างขึ้น และ premium ของน้ำมันดิบลดลง ต่างจากคู่แข่งที่ค่าการกลั่นลดลงในทิศทางเดียวกับค่าการกลั่นสิงคโปร์ที่ลดลง 35% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้แนะนำ "ซื้อ" สำหรับลงทุนระยะยาว พร้อมปรับราคาเป้าหมายเป็น 39 บาท จากเดิมที่ 37 บาท
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ BCP ในไตรมาส 2/59 จะอยู่ที่ราว 2,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากไตรมาสก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนคือกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 900 ล้านบาท จากช่วงไตรมาส 1/59 ที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 1,340 ล้านบาท ในขณะเดียวกันเงินบาทที่เข็งค่าขึ้น ส่งผลให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเพิ่มอีก 250 ล้านบาท ด้านกำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะดีขึ้นหลังจากโรงกลั่นสามารถใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 74% ขณะเดียวกันทั้ง Product Yield และสเปรดของน้ำมันดีเซลปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมัน Dated Brent/Dubai แคบลง 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการกลั่นของตลาด ( Market GRM) ดีขึ้น 10% มาอยู่ที่ 5.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะชะลอตัวตามปริมาณการขายที่ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 1,449 ล้านลิตร ขณะที่มาร์จิ้นได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดอุตสาหกรรม ส่งผลให้ค่าการตลาดปรับตัวลดลง
ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังสร้างรายได้และกำไรเข้ามาได้สม่ำเสมอ โดยปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าในไตรมาส 2/59 จะใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1/59 อย่างไรก็ตามธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) แม้ปริมาณขายเพิ่มเป็น 3.8 แสนบาร์เรล ราคาขายเฉลี่ยเพิ่ม 42% แต่คาดผลการดำเนินงาน NIDO ยังคงติดลบ จากค่าเสื่อมราคาและผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิแล้วรวมกำไรงวดครึ่งปีแรกจะเท่ากับ 2,478 ล้านบาท ลดลง 35.3% คิดเป็น 48.6% ของประมาณการทั้งปี
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือนั้น คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะไม่มีการแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ส่งผลให้การใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 1.10-1.15 แสนบาร์เรล/วัน รวมถึงค่าการกลั่นที่เริ่มฟื้นตัว แต่ภาพรวมอาจไม่สดใสเท่าปีก่อน อย่างไรก็ตามระยะสั้นมีความเสี่ยงที่ไตรมาส 3/59 จะเกิดผลขาดทุนสต็อกน้ำมันอีกครั้ง หลังราคาน้ำมันปรับตัวลงมา 15% ตั้งแต่ต้นไตรมาส
ส่วนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันคาดปริมาณขายจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากแผนการขยายจำนวนสถานีให้บริการในปีนี้ 60 แห่ง พร้อมกับเพิ่มแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ตใหม่ที่ได้ซื้อแฟรนไชส์จากยุโรปคาดว่าเห็น 5 แห่ง ในปลายปีนี้
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการโซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่นส่วนที่เหลือนั้น คาดสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อีก 9 เมกะวัตต์ ในช่วงไตรมาส 3/59 และอีก 11 เมกะวัตต์ ช่วงต้นปี 60 ซึ่งจะถึงจุดคุ้มทุนและเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการดังกล่าวตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจจากการนำหุ้นบมจ.บีซีพีจี (BCPG) เข้าจดทะเบียนในตลาดฯซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือน ต.ค. โดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมจองซื้อหุ้น BCPG ในอัตราส่วน 20 หุ้นสามัญ BCP ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน BCPG คิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BCPG ไม่เกิน 68.8 ล้านหุ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปี 59 ที่ 5,097 ล้านบาท คงคำแนะนำ"ซื้อ" โดยมีราคาเหมาะสมที่ 38 บาท
ด่านบล.บัวหลวง แนะ"ซื้อ"หุ้น BCP ให้ราคาเป้าหมายที่ 39 บาท โดยมองหุ้น BCP ปัจจุบันซื้อขายกันที่ PER ณ สิ้นปี 59 ที่ 11.6 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงกลั่นที่ 10.1 เท่า, ค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกน้ำมันอยู่ที่ 15 เท่า และค่าเฉลี่ยกลุ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 18 เท่า ทำให้คาดว่ามูลค่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาสอดคล้องกับกลุ่มได้ ยิ่งกว่านั้นการที่บริษัทจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ BCPG ต่อผู้ถือหุ้น BCP ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเพื่อรักษาสิทธิ (Pre-emptive Right) นั้นจะเป็นการดึงดูดนักลงทุนให้ซื้อสะสมหุ้นด้วย