น.ส.วิษณี เทพเจริญ รองประธานฝ่ายการเงิน บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญากับ PRIME International Property Thailand เพื่อแต่งตั้งเป็นตัวแทนขายสำหรับโครงการ อัพ เอกมัย คอนโดมิเนียม ที่มีมูลค่าเหลือขายราว 1,200 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมดราว 2,400 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ต่อจากโครงการแรก โครงการ NUSA State Tower มูลค่าขายราว 2,200 ล้านบาท ที่แต่งตั้งให้ PRIME เป็นตัวแทนขายใน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลตอบรับดีมาก ซึ่งโครงการสเตรท ทาวเวอร์ บริษัทได้เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้วบางส่วนตั้งแต่ไตรมาส 1/59
สำหรับโครงการอัพ เอกมัย คอนโดมิเนียน PRIME มีแผนจะจัดอีเวนท์แบบ Exclusive เพื่อเสนอขายโครงการให้กับลูกค้าต่างประเทศ คือ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และดูไบ ซึ่งประเทศแรกที่จะไปคือ ฮ่องกงราวต้นเดือน ก.ย.คาดว่าจะปิดการขายโครงการได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ส่วนโครงการในอนาคตที่จะให้ PRIME เป็นตัวแทนขายนั้น ยังไม่ได้วางแผนไว้ในขณะนี้ แต่จะขอพิจารณาผลของโครงการแรกก่อน
น.ส.วิษณี กล่าวว่า โครงการอัพ เอกมัย คอนโดมีเนียม ปัจจุบันบริษัทมียอดขายแล้ว 50% ของมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท เหลือขายอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งได้ชะลอการขายไปในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากบริษัทได้เริ่มเจรจาตกลงกับกลุ่มเมอเวนพิคที่เป็นพันธมิตรต่างประเทศให้เข้ามาบริหารโครงการ ซึ่งการที่กลุ่มเมอเวนพิคเข้ามาทำให้ปรับกลยุทธ์การขายไปเน้นที่นักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก
"NUSA เคยร่วมงานกับ PRIME มาก่อนแล้ว ที่เราไว้ใจให้ PRIME เป็นตัวแทนขาย จำนวน 2 โครงการ เพราะเราเห็นโครงการแรก สเตรท ทาวเวอร์ ที่ไปขายที่กัวลาลัมเปอร์ โดยจัดเป็นไพเวทอีเวนท์ เพียง 5 ชั่วโมง สร้างยอดขายได้แล้ว 100 ล้านบาท เรามีไว้ใจ เพราะ PRIME มีออฟฟิศอยู่ทั่วโลก มี view จากรอบๆ รู้ staus ตลาดว่าควรเอาโปรเจกต์นี้ไปขายที่ไหนก่อน ตลาดประเทศไหนมีดีมานด์ช่วงนี้ ซึ่งกระแสตอบรับโครงการสเตรท ทาวเวอร์ ค่อนข้างดี ทำให้ต้นเดือน ส.ค.บริษัทจึงได้เซ็นโครงการคอนโดมิเนียม อัพ เอกมัย ซึ่ง PRIME จะจัดเป็น exclusive เฉพาะลูกค้าต่างประเทศ"น.ส.วิษณี กล่าวทั้งนี้ น.ส.วิษณี มองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังในไทยยังเป็นที่สนใจอยู่ ดีมานด์ยังมีอยู่รวมทั้งยังเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเข้ามาด้วย
นายจัสติน ชิว ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพรม อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า การขยายสาขาเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทมีความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก มีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญผลิตโครงการคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดในระดับนานาชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มลูกค้าระดับบนในประเทศไทยมีกำลังซื้อสูง มีความสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ หรือครอบครัวที่ส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอเมริกา และเซี่ยงไฮ้ ก็ถือเป็นอีกกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสใช้บริการเลือกหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จากบริษัทได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ในระยะยาวหากมีโครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟสายนี้ ส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมาก บริษัทได้มองเห็นถึงโอกาสดังกล่าว จึงได้เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยเริ่มจากการเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายโครงการระหว่างประเทศ
"เหตุผลหลักที่บริษัทเลือกมาเปิดสาขาที่กรุงเทพ เพราะมองว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่น่าลงทุนอันดับหนึ่งของเอเซีย ด้วยจำนวนประชากร และกำลังซื้อ เราเชื่อว่าการขยายสาขามาประเทศไทยช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการขยายฐานลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และการให้บริการหลังการขายกับลูกค้าที่เป็น End User ให้ดีกว่าเดิม อีกทั้งกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศของเราก็มีความสนใจลงทุนในไทยเป็นอย่างมากเช่นกัน"นายจัสติน กล่าวทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่าธุรกิจในประเทศไทยจะมีการเติบโตเป็นอย่างมากในอนาคต ปัจจุบัน PRIME International Property Thailand ได้เซ็นต์สัญญากับ NUSA เข้ามาเป็นลูกค้ารายแรก อีกทั้งบริษัทมีพันธมิตรในประเทศไทยแล้วจำนวน 7 ราย ซึ่งบริษัทมีแผนจะเพิ่มพันธมิตรในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และยังมีแผนจะขยายสาขาไปสู่หัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ตและพัทยา เป็นต้น
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทจะเน้นการให้บริการที่ครบวงจรทั้งการเป็นตัวแทนการซื้อขายและให้เช่า รวมไปถึงให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอโครงการที่หลากหลายจากจากทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันบริษัทได้ร่วมบริหารโครงการกับบริษัทพันธมิตรมาแล้วจำนวน 62 ราย และบริหารโครงการมาแล้ว 131 โครงการ มูลค่าสินทรัพย์ร่วมบริหารอยู่ประมาณ 140,000 ล้านบาท อาทิ Mah Sing Group ประเทศมาเลเซีย, Guocoland ประเทศสิงคโปร์, แชงกริลากรุ๊ป ประเทศฟิลิปปินส์, Mirvac ประเทศออสเตรเลีย และ Damac ที่ดูไบ พร้อมตั้งเป้าพอร์ตในมือเพิ่มมูลค่า 1,500 ล้านบาทในปีนี้
บริษัทดำเนินธุรกิจบูทีคเอเจนซี่ ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้บริการแบบครบวงจร โดยให้บริการด้านการเป็นตัวแทนในการซื้อขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท และให้บริการด้านการให้คำปรึกษาในการวางแผนโปรเจ็ค การพัฒนาการขายนอกเหนือจากที่ได้วางแผนไว้ พร้อมให้คำปรึกษาในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงไฟแนนซ์ และการขายอสังหาริมทรัพย์มือสอง ด้วยมาตรฐานระดับสากล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสาขาในประเทศ อังกฤษ ดูไบ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และในอนาคตมองว่าจะขยายสาขาไปที่ประเทศกัมพูชา ไต้หวัน และ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
นอกเหนือจากการตอบสนองความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทสามารถให้ความรู้และวิธีการเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงมีบริการเสริมในเรื่องกฎหมาย การเงิน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร