IVL คาดผลงาน H2/59 ยังโตต่อเนื่อง หลัง Q2/59 กำไรหลักพุ่ง 74% ทำนิวไฮ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 10, 2016 15:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 มีการปรับปรุงในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งการเข้าซื้อกิจการล่าสุด ซึ่งได้แก่ IVL Spain และ Aromatics Decatur สะท้อนให้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์และการเลือกยุทธศาสตร์ที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการปรับตัว มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การผสมผสานระหว่างธุรกิจจะส่งผลให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่มีความได้เปรียบในอุตสาหกรรม รวมทั้งช่วยให้มีการประกันปริมาณการผลิตและกำไรรวม ในขณะเดียวกันรักษาการปรับตัวในอนาคตเมื่ออุตสาหกรรมมีการฟื้นตัว ปัจจุบัน IVL เป็นบริษัทที่มีการบูรณาการมากที่สุดในอุตสาหกรรม

ภาพรวมของธุรกิจผลการดำเนินงานในอเมริกาเหนือมีการผสมผสาน รายได้ของธุรกิจ EOEG ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกริยา (catalyst) ในขณะที่ธุรกิจเส้นใยและ PET ทั้งในกลุ่ม necessities และ HVA มีผลการประกอบการดีเยี่ยม และมี core EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบปีต่อปี ความต้องการผลิตภัณฑ์ necessities ในเอเชีย ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์กำลังการผลิตส่วนเกิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTA มองว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการปรับโครงสร้างของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักและมีการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการเผ้าระวังกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นใหม่ ในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา มีตัวเลข core EBITDA เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายการผลิตของโรงงานผลิต PTA ในร็อเตอร์ดัมและการปรับปรุงการผลิต IPA ต่อจากนี้

"ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ภูมิภาคในการดำเนินงานและตลาดของเราจะเป็นเหมือนตัวเร่งการเติบโตในอนาคต ไอวีแอลจะยังคงสร้างการเกื้อหนุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เรามีการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน"นายโลเฮีย กล่าว

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/59 มีกำไรหลักสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Core Profit after tax and NCI) สูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง คิดเป็น 74% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากการฟื้นตัวของอัตรากำไรในกลุ่มธุรกิจ PET และปริมาณการผลิตวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ PTA จากการเข้าซื้อกิจการในประเทศสเปน (เดิมคือ บริษัท Cepsa ประเทศสเปน) และกิจการผลิตอะโรมาติกส์ ในเมืองดีเคเตอร์ (เดิม คือ บริษัท BP Decatur) ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อันเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ซึ่งได้แก่ IPA และ NDC จากกิจการที่เข้าซื้อดังกล่าว

ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาส 2/59 บริษัทมีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) ของธุรกิจ PET เพิ่มขึ้น 19% หนุนด้วยการเติบโตของธุรกิจเส้นใยที่ 46% เมื่อเทียบปีต่อปี ผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA มีการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี โดยมี core EBITDA ในรอบสิบสิงเดือนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12 พันล้านบาทจาก 9 พันล้านบาทจากปีก่อน

ในไตรมาสที่ 2 มีกำไรจากสินค้าคงเหลือ ซึ่งไม่กระทบเงินสด จำนวน 600 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับรายได้พิเศษสุทธิ จำนวน 2.5 พันล้านบาท โดยมาจากกำไรจากการต่อรองราคาซื้อจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศสเปนเป็นหลัก ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิจำนวน 5.9 พันล้านบาท ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 10.8 พันล้านบาทหรือมีกำไรต่อหุ้น 2.08 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ