โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศุภาลัย (SPALI) หลังกำไรไตรมาส 2/59 เติบโตโดดเด่นรับประโยชน์มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ และยกให้เป็นใน top pick ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่
ทั้งนี้ ประเมินว่ารายได้ครึ่งหลังของปี 59 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 60 และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่า รวมถึงยอดขายรอโอน (Backlog) คุณภาพดี ขณะที่ยังมีที่ดินในมือรองรับการพัฒนาโครงการในปีนี้จนถึงปีหน้าค่อนข้างพร้อมมากกว่ารายอื่น จึงสามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
พร้อมกันนั้น ยังคาดหวังที่จะเห็นผลที่น่าตื่นเต้นจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย ขณะที่ SPALI ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดครึ่งปีแรกที่ 0.50 บาทในช่วงเดือน ส.ค.59
ราคาหุ้น SPALI เมื่อเวลา 15.10 น. อยู่ที่ 24.90 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อวานนี้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ เป้าหมาย (บาท/หุ้น) กสิกรไทย ซื้อ 28.50 กรุงศรี ซื้อ 29.00 เคทีบี(ประเทศไทย) ซื้อ 28.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 28.50 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 27.50 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 29.00นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะนำ"ซื้อ"หุ้น SPALI เนื่องจากมองแนวโน้มกำไรในปีนี้จะเติบโตได้ราว 11% และต่อเนื่องไปในปี 60 คาดว่าจะเติบโตได้อีก 15% โดยยังคงความได้เปรียบจากความหลากหลายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม ทำให้ผลประกอบการยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมียอดขายรอโอน (Backlog) ค่อนข้างมากที่จะทยอยโอนได้อย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับ ภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น และความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ ในทำเลที่ดีและราคาเหมาะสมก็ยังมีกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทำให้ไม่ต้องรีบร้อนในการปิดโครงการ จึงเหมาะสมในการซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว
"ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพราะความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ แต่ในอนาคตการเติบโตคงไม่ได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียว แต่จะเริ่มมีความต้องการที่เป็นโครงการแนวราบมากขึ้นในโครงการที่อยู่ชานเมือง และด้วย SPALI เป็นบริษัทที่มีทุกอย่างค่อนข้างครบ เราจึงมีมุมมองเชิงบวกที่จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง"นายกวี กล่าวนอกจากนั้น ยังประเมินว่า SPALI จะมีการจ่ายเงินปันผลในปีนี้ 5% และในปี 60 ที่ 5.5% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีระดับ P/E เพียง 8.7 เท่า และในปี 60 จะลดลงมาเหลือเพียง 7.6 เท่า ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น SPALI เช่นกัน พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายในปี 60 เป็น 28.5 บาท จาก 26.5 บาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการและอัตราการเติบโตของกำไรที่ยังแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ โนมูระฯ มองว่า SPALI เป็นหนึ่งใน top pick ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกลยุทธ์เชิงรุกในการเพิ่มโครงการแนวราบในต่างจังหวัดประสบความสำเร็จเกินคาด ทำให้ momentum ยอดจองยังดีต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนที่ค่อนข้างแน่นอน ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อดีต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า และสูงกว่ากลุ่มฯ
รวมไปถึง Backlog มีคุณภาพสะท้อนให้ให้เห็นว่ามีโอกาสที่คาดการณ์จะผิดพลาดค่อนข้างต่ำ ในขณะเดียวกัน SPALI ยังมีที่ดินรองรับสำหรับการพัฒนาโครงการเพียงพอสำหรับปีปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ถือว่ามีความพร้อมที่ค้อนข้างมากกว่ารายอื่นๆ ซึ่งเป็นการสนับการเติบโตในอนาคต
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงคาดกำไรสุทธิของ SPALI ในปีนี้จนถึงปีหน้าจะเติบโตเฉลี่ย 9% สูงกว่ากลุ่มฯ และยังคงจุดเด่นอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างดีที่สุดในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทเผยกำไรสุทธิครึ่งปีแรกปีนี้ทำได้ 2.83 พันล้านบาท เติบโต 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกที่ 0.50 บาท
ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SPALI รายงานผลงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/59 ที่ 1.43 พันล้านบาท และคาดรายได้จะเติบโต 1.6% จากไตรมาส 1/59 และเติบโต 24% จากไตรมาส 1/58 มาอยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลที่จะลดค่าธรรมเนียมการโอน
ขณะเดียวกัน SPALI รายงานยอดขาย (Presales) ที่ 6.4 พันล้านบาทในไตรมาส 1/59 และไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 6.2 พันล้านบาท ซึ่งได้มาจากเดือน เม.ย. มากถึง 5 พันล้านบาท โดยเฉพาะยอด 1 พันล้านบาทนั้นเข้ามาในวันเดียวก่อนที่มาตรการฯ ของรัฐบาลหมดอายุ (28 เม.ย.59)
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/59 จาก 38% เป็น 38.6% และลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จาก 9.8% เป็น 9.5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายวัสดุก่อสร้างลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จะยิ่งช่วยเอื้อประโยชน์ให้ SPALI ตั้งแต่ไตรมาส 2/59 เป็นต้นไป ในขณะที่ผู้รับเหมากลุ่มที่สร้างที่อยู่อาศัยเริ่มมีการเสนอลดราคาค่าก่อสร้างให้กับบริษัท เนื่องจากการแข่งขันอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ SPALI คาดหวังอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ราว 6.1% โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปี 59 ปรับตัวลดลงมาที่ 5.7% จากระดับสูงสุดที่ 7.7% ในปี 58
พร้อมกันนี้ ยังคาดว่า SPALI จะจ่ายในงวดครึ่งปีหลังอีก 0.55 บาท หลังจากช่วงเดือนส.ค.ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดการดำเนินงานครึ่งปีแรก ที่ 0.50 บาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผลทั้งปี เท่ากับ 4.3%
ส่วน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ กล่าวว่า ยอดขายรอโอนสิ้นงวดไตรมาสที่จะโอนปีนี้สูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาท หลังจากโอน 2 โครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ คือ Supalai Vista ติวานนท์ และ Supalai Elite สาทร สวนพลู ทำให้ยอดโอนไตรมาส 2/59 จะเติบโต 23% จากไตรมาส 2/58
ขณะที่มาร์จิ้นดีขึ้นเล็กน้อย เพราะการโอนไตรมาส 2/59 จะได้รับผลลบจากโครงการ Wellington ที่มีมาร์จิ้นต่ำน้อยกว่าช่วงไตรมาส 2/58 ซึ่งมีการโอนโครงการนี้มากกว่า ขณะที่รายจ่ายการขายและบริษัทมีการใช้งบการตลาดที่ไม่มากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ขนาดใหญ่ถึง 3 โครงการ จึงคาดหมายกำไรจะเติบโตตามการโอนสู่ระดับ 1.2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ SPALI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 28 บาทจาก 24.50 บาท โดยยกไปอ้างอิงกำไรปีหน้า อีกทั้งมี Dividend Yield 5-6%