MTLS คาดกำไรครึ่งปีหลังทำนิวไฮตามความต้องการสินเชื่อเพิ่ม,พอร์ตปีนี้ทะลุเป้า 2 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 10, 2016 17:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) เชื่อว่า กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 จะยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องจากไตรมาส 2/59 ที่บริษัททำกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการสินเชื่อในครึ่งปีหลังยังมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก

โดยเฉพาะไตรมาส 3/59 เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ลูกค้าของบริษัทที่เป็นกลุ่มเกษตรก่อนจะมีความต้องการใช้เงินมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อนำเงินไปใช้ในการซื้อวัตถุดิบและเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆเพื่อในการทำการเกษตร จึงเป็นไฮซีซั่นที่การปล่อยสินเชื่อก้าวกระโดมากขึ้นจากไตรมาส 2/59 และในไตรมาส 4/59 การปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/59 เพียงเล็กน้อย เพราะลูกค้าที่เข้ามาขอสินเชื่อส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการเลี้ยงฉลองและซื้อของปีใหม่ โดยบริษัทได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 เฉลี่ยเดือนละ 3.3 พันล้านบาท

ประกอบการการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นนั้นจะมาจากการขยายสาขาของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งวางแผนขยายสาขาอีก 364 สาขา โดยจะใช้เงินลงทุนสาขาละ 250,000-300,000 บาท/สาขา โดยในสิ้นปี 59 บริษัทจะมีสาขาทั้งหมด 1,600 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ 1,236 สาขา

นอกจากนี้ การปล่อยสินเชื่อของบริษัทให้กับลูกค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากความต้องการใช้สินเชื่อจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทในปีนี้ทำได้ทะลุเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 1.72 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของบริษัทนั้นสินเชื่อรถจักรยายนจะมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50% เล็กน้อย จากปัจจุบันอยู่ที่ 51% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทได้ปล่อยสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่ดินซึ่งมีวงเงินการปล่อยสินเชื่อ (Ticket Size) ที่มีมูลค่าสูงกว่าการปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ส่งผลให้สินเชื่อทรถยนต์และสินเชื่อที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันสินเชื่อรถยนต์ของบริษัทมีสัดส่วนอยู่ที่ 32.74% และสินเชื่อที่ดินมีสัดส่วนอยู่ที่ 6.37%

ด้านแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังทรงตัวจากครึ่งปีแรกที่ระดับ 0.94% โดยบริษัทยังไม่เห็นสัญญาณที่ผิดปกติของการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงชำระหนี้ตามปกติ ซึ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์ของบริษัทที่มองว่าภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวอยู่จะมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าลดลงและทำให้แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น โดยในปีนี้บริษัทยังตั้งเป้าคุม NPL ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1%

ส่วนการตั้งสำรองของบริษัทนั้นบริษัทยังคงต้องมีการตั้งสำรองในระดับที่สูง แม้ว่าระดับ NPL ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตสินเชื่อจของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าการตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะมีการตั้งสำรองไตรมาสละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ