ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร UV เป็น “BBB+" จาก “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 8, 2016 14:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นอกจากนี้ การเพิ่มทุนจำนวน 4,971 ล้านบาทใน GOLD โดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกันกับบริษัทก็ทำให้โครงสร้างเงินทุนของกลุ่มบริษัทดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นลำดับสูงสุดของบริษัทและของบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) คือบุคคลที่เกี่ยวข้องกันของทั้งสองบริษัท

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสินค้าของบริษัทที่มีหลากหลายซึ่งขยายไปยังตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูงมากขึ้นภายหลังจากการซื้อกิจการของ GOLD ในปลายปี 2555 และของ บมจ.กรุงเทพบ้านและที่ดิน (KLAND) ในปลายปี 2557 รวมถึงการมีรายได้ที่แน่นอนจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากยอดขายคอนโดมิเนียมที่เป็นไปอย่างค่อนข้างช้าและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของกลุ่ม นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 15,000-18,000 ล้านบาทต่อปี อัตรากำไรจากการดำเนินงานควรอยู่ที่ประมาณ 15% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เกินกว่า 60% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตได้

UV ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ และในปี 2543 บริษัทได้เปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักโดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2550 Adelfos กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และ ณ เดือนมีนาคม 2559 Adelfos ก็มีสัดส่วน 66.01% ในบริษัท เจ้าของกิจการของ Adelfos คือทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซี

สินค้าของบริษัทขยายจากคอนโดมิเนียมซึ่งพัฒนาโดย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (GUD) ไปสู่บ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูงภายหลังจากการซื้อกิจการของ GOLD และ KLAND ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนา 31 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 9 โครงการที่พัฒนาโดย GUD และบ้านจัดสรร 22 โครงการที่พัฒนาโดย GOLD และ KLAND โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งหมด 22,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง)

ยอดขายของบริษัทเติบโต 61% จากปีก่อนเป็น 11,143 ล้านบาทในปี 2558 และเติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6,518 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 รายได้ของบริษัทในปี 2558 เท่ากับ 13,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน โดยรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างมากเป็น 10,462 ล้านบาทในปี 2558 จาก 6,486 ล้านบาทในปี 2557 ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าสร้างรายได้จำนวน 1,500 ล้านบาทในปี 2558 รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 7,610 ล้านบาท โดยรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็น 6,340 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของโครงการบ้านจัดสรรที่เติบโตขึ้น ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 6,200 ล้านบาท โดย 60% ของยอดขายรอการรับรู้รายได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียม ยอดขายรอการรับรู้รายได้เหล่านี้จะส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2559 ถึงปี 2560 ทั้งนี้ จากแผนการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก รายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจึงคาดว่าจะอยู่ที่ 15,000-18,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรจะมีสัดส่วนอย่างน้อย 60% ของรายได้รวมของบริษัท

อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 14%-15% ในช่วงปี 2558 ถึงครึ่งแรกของปี 2559 จาก 11% ในปี 2557 เนื่องจากสัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูง จึงคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ประมาณ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเอาไว้ได้

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 29% ณ เดือนมิถุนายน 2559 จาก 60% ณ เดือนธันวาคม 2558 และ 62% ณ เดือนธันวาคม 2557 อัตราส่วนดังกล่าวในปัจจุบันต่ำกว่าในอดีตเนื่องจาก GOLD มีการเพิ่มทุนจำนวน 4,971 ล้านบาทในเดือนมกราคม 2559 และการให้เช่าช่วงอาคารสำนักงาน Park Ventures Ecoplex และ Sathorn Square แก่ GVREIT ในเดือนมีนาคม 2559 เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนและการให้เช่าช่วงช่วยลดภาระในการกู้ยืมได้ส่วนหนึ่ง แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุก แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% เพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิต

กระแสเงินสดของบริษัทเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 14% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) จาก 9% ในปี 2558 และ 5% ในปี 2557 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 5 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 2-3 เท่าในช่วงปี 2556-2558 ภาระหนี้ที่ครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยตั๋วเงินจ่ายจำนวน 1,150 ล้านบาทและเงินกู้สำหรับโครงการจำนวน 1,588 ล้านบาท ซึ่งจะมีวงเงินรองรับจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ เงินสดในมือจำนวน 1,071 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปี และวงเงินสินเชื่อซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 9,400 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ