ฟิทช์ คงอันดับเครดิตภายในประเทศหุ้นกู้ชุดใหม่ SCC มูลค่า 2.5 หมื่นลบ.ที่ ‘A(tha)’

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 14, 2016 14:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ ของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ครั้งที่ 2/2559 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2563 มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ ‘A(tha)’

หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’) เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิของ SCC โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ในด้านฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบในธุรกิจเคมีภัณฑ์ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) และอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปี 2558 ต่อเนื่องมาในครึ่งแรกของปี 2559

ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2559-2560 โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการของ SCC ในปี 2559 ในขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศ และการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้กำลังการผลิตของฐานการผลิตใหม่ของ SCC ในภูมิภาค จะเป็นปัจจัยหลักที่สร้างการเจริญเติบโตให้ SCC ในปี 2560

ฟิทช์คาดว่า EBITDA Margin ของ SCC จะคงอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 15 ในปี 2559-2560 จากร้อยละ 11 ในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ของ SCC น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.5 เท่า-4.0 เท่าในปี 2554-2558) อัตราส่วนหนี้สินที่แข็งแกร่งขึ้นจะช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทฯ ในการรองรับหนี้สินที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจในภูมิภาคโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตปัจจุบัน

ด้านการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย โดยอันดับเครดิตของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยผลประกอบการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า SCC ได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ ซึ่งช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น เช่น การเติบโตของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีส่วนช่วยลดความกดดันจากภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ในปี 2555 หรือการที่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ช่วยทำให้ EBITDA รวมของ SCC สูงขึ้นแม้ว่าธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะมีผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2558 การที่ SCC ยังคงมุ่งขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์ต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัทฯ ในระยะยาว

ด้านความเป็นผู้นำในตลาด SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยวัดจากกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาด ฟิทช์คาดว่า SCC น่าจะยังคงรักษาสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักเหล่านี้ไว้ได้ต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า

ด้านแผนการลงทุนที่ยังคงสูง จากแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ SCC น่าจะยังคงสูงต่อเนื่องที่ระดับประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2559-2560 แม้ว่าการใช้เงินลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในประเทศเวียดนามจะล่าช้าออกไปก็ตาม

ด้านความผันผวนของธุรกิจ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่ SCC ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ รวมถึงความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ อีกด้วย

สำหรับสมมุติฐานที่สำคัญ ของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ ได้แก่ Operating EBITDA เติบโตเล็กน้อยในปี 2559 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ยังคงแข็งแกร่ง , Operating EBITDA จากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คงอยู่ในระดับเดิมหรือลดลงเล็กน้อย , ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2559-2560 , อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50

ส่วนปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ด้านปัจจัยบวก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในภูมิภาค , อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.75 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.49 เท่า ในปี 2558)

ด้านปัจจัยลบ จากสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 3.75 เท่า อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ