โบรกเกอร์เชียร์ซื้อหุ้น บมจ.เจ มาร์ท (JMART) จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจติดตามหนี้ และธุรกิจการปล่อยสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างโดดเด่น รวมทั้งการที่ JMT เปลี่ยนนโยบายการบันทึกค่าตัดจำหน่าย (amortization) จาก 5 ปี เป็น 10 ปี จะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง รวมถึงมีแผนจะปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน JMT Plus ไปอยู่ภายใต้การถือหุ้นใหญ่โดย JMART จะช่วยปลดล็อคกำไรของ JMT ด้วย
ด้านธุรกิจจำหน่ายมือถือของ JMART ก็มีการออกแคมเปญผ่อนยาว และขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน SINGER ในปีนี้ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็มีผลตอบรับที่ดี คาดว่ายอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือในปีนี้และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการขยายธุรกิจมาขายกล้องถ่ายรูปถือว่ามีมาร์จิ้นสูงจะส่งผลดีต่อตัวกำไรอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่มองราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ด้วยกัน
ราคาหุ้น JMART ช่วงบ่ายอยู่ที่ 12.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+2.46%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.83%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) กรุงศรี ซื้อ 14.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 16.80 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 16.00นายวรพงศ์ ตันติวุฒิพงศ์ นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อจะเป็น upside สำหรับ JMART นอกเหนือจากกำไรธุรกิจเดิมมียังมีแนวโน้มเติบโตดี จะช่วยผลักดันกำไรของบริษัทให้เติบโตเฉลี่ย 17% ต่อปี ในช่วงปี 58-61
ธุรกิจของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเร่งรัดติดตามหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ นับว่าเป็นดาวเด่นที่ได้แรงหนุนจากแผนการปรับโครงสร้างของกลุ่ม โดย JMART จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เจ เอ็ม ที พลัส จำกัด (JMT Plus) เป็น 90.1% จากปัจจุบันที่ JMT ถืออยู่ 99.9% จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ JMT ใน JMT Plus ลดลงเหลือราว 9% ช่วยปลดล็อคกำไรของ JMT ในปีนี้ และคาดว่า JMT Plus จะพลิกฟื้นกำไรได้ในไตรมาส 1/60 จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามฐานเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน JMT ก็เปลี่ยนวิธีการบันทึก amortization ในปีนี้ โดยจะทยอยตัด amortization เป็นเวลา 10 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีแบบเดิม ซึ่งจะทำให้สำรองหนี้เสียที่เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง จึงคาดว่ากำไรสุทธิของ JMT จะโตถึง 74% เป็น 142 ล้านบาทในปี 60 และเติบโตอีก 28% เป็น 183 ล้านบาทในปี 61 จากเกณฑ์การบันทึกบัญชีแบบใหม่ และพอร์ตหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.50 แสนล้านบาทในปี 61 แต่เชื่อว่า JMT จะได้ประโยชน์อย่างมาก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการที่เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้า
สำหรับธุรกิจของ JMART คาดว่ายอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือดีขึ้นหลังจากที่ในปีที่แล้วถูกกระทบจากการอุดหนุนค่าเครื่องอย่างดุเดือดของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อดึงให้ลูกค้าเปลี่ยนระบบจาก 2G มาเป็น 3G โดยมองว่าผู้ให้บริการฯไม่มีแผนจะทำแบบนั้นอีกแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทก็เพิ่งเริ่มแคมเปญผ่อนยาว และขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ในปีนี้เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็มีผลตอบรับที่ดี ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5.5% เป็น 9.2 พันล้านบาท และเพิ่มขึ้นอีก 9.4% เป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 60
"มองว่ายังมีประเด็นที่หนุนการเติบโตอีกหลายเรื่อง ซึ่งจะเป็น upside โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิของ JMART จะโตเฉลี่ย 17% ต่อปี ในช่วงปี 58-61 จากแนวโน้มที่ดีขึ้นของธุรกิจขายเครื่องโทรมือถือ และแนวโน้มการเติบโตอย่างโดดเด่นของธุรกิจการติดตามหนี้ อีกทั้งบริษัทยังมีโอกาสเติบโตได้อีกตามธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ ประกอบกับเรามองว่าราคาหุ้นยังถูก เมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่มการพาณิชย์ ซึ่งมี P/E ปี 60 เฉลี่ยอยู่ที่ 24 เท่า และของ COM7 ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของบริษัทซึ่งอยู่ที่ 21 เท่า"นายวรพงศ์ กล่าวบทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุเพิ่มเติมว่าการที่ JMT Plus จะเพิ่มทุนแล้วทาง JMT จะไม่ใช้สิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้น แต่จะให้ JMART เข้ามาถือหุ้นแทนนั้น ก็จะทำให้ JMT ได้เงินที่ JMT Plus กู้ยืมคืนมาเป็นฐานในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพต่อไป และอาจมีการกลับรายการรับรู้ขาดทุนจาก JMT Plus ในช่วงที่ผ่านมา หนุนกำไรในไตรมาส 4/59 ของ JMT ได้ โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อการที่ JMT จะกลับมาโฟกัสในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไร
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ธุรกิจบริหารหนี้และให้สินเชื่อจะขึ้นมาเป็นพลังขับเคลื่อนต่อ JAMART หนุนให้กำไรช่วงปี 59-60 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 18% สะท้อนธุรกิจมือถือที่ทำได้ดีกว่าคาด และการปรับวิธีรับรู้รายได้ JMT รวมถึงผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ JMT Plus ไปอยู่ภายใต้การถือหุ้นใหญ่โดย JMART ตั้งแต่ปี 60
ส่วนในปีนี้คาดกำไรของ JMART จะอยู่ที่ 440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.5% และจะเติบโตอีก 18.2% ในปีหน้า จากการขยายตัวของ JMT และ JMT Plus เป็นหลัก พร้อมกันนี้คาดว่ากำไรในไตรมาส 3/59 จะยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยธุรกิจหลักมือถืออาจอ่อนตัว เนื่องจากเป็นไตรมาสสุดท้ายก่อน iPhone รุ่นใหม่เปิดตัว แต่น่าจะชดเชยได้จากกำไรของ JMT รายได้จากบริหารหนี้คาดจะสูงขึ้น และ JMT Plus ที่จะตั้งสำรองหนี้ลดลง โดยในงวดไตรมาส 4/59 คาดว่ากำไรจะเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับทุกไตรมาส เป็นไปตามฤดูกาลของธุรกิจขายมือถือ อีกทั้งยังจะเป็นไตรมาสแรกที่มีเริ่มขาย iPhone ใหม่
นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดว่า JMART จะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จากการบันทึกสำรองหนี้สูญลดลงหลัง JMT ปรับ Amortization จาก 5 ปี เป็น 10 ปี และการที่ JMART เริ่มขยายไปยังธุรกิจกล้องถ่ายรูป ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ส่งผลให้กำไรสุทธิน่าจะเติบโตอยู่ที่ 425 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
JMART เริ่มขยายมายังธุรกิจกล้องถ่ายรูปอย่างจริงจัง ปัจจุบันจำนวนสาขาที่มีการจำหน่ายกล้องถ่ายรูปมีเพียง 30 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาที่มีการจำหน่ายกล้องถ่ายรูปให้เป็น 90 สาขาภายในปี 60 ซึ่งจะเสริมรายได้ให้เติบโตถึง 1-1.5 พันล้านบาท การเติบโตจะเป็นในลักษณะของการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากรายใหญ่และการเติบโตของอุตสาหกรรมจากกล้อง mirrorless จึงมองธุรกิจกล้องมีจุดเด่นด้านมาร์จิ้นที่สูง ประมาณ 20% และ JMART มี JMT Plus ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่มาซื้อกล้อง ซึ่งสามารถพ่วงโปรโมชั่นกล้องกับมือถือได้อีกด้วย
อีกทั้งยังมอง JMT สามารถเติบโตได้ดีจากปัจจัยหนุน จากการเปลี่ยนนโยบายการบันทึก amortization จาก 5 ปี เป็น 10 ปี ,การฟื้นตัวของเศรษฐกิจส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและการจ่ายคืนหนี้จะมีมากขึ้นในท้ายที่สุด และ JMT ตั้งเป้าการซื้อมูลค่าหนี้สูงถึง 2 แสนล้านบาทภายในปี 63 คาดว่าจะเติบโตปีละประมาณ 30,000 ล้านบาท