(เพิ่มเติม) "ไทยนิปปอนรับเบอร์ฯ"คาดเสนอขาย IPO จำนวน 75 ล้านหุ้นพร้อมเข้าเทรด SET ภายใน พ.ย.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 7, 2016 13:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์ อินดัสตรี้ (TNR) เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น และคาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ภายในสิ้นเดือน พ.ย.59 เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการต่อไป

อนึ่ง TNR เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติและผิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีจุดแข็งของบริษัทเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 1,959 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดถึงยางอนามันแบรนด์ Onetouch ในไทย และรุกขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ในทวีปต่างๆ

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน TNR คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น IPO ในเดือนพ.ย.นี้ และจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ หลังจากกลางเดือนนี้จะทำการสำรวจราคาจากนักลงทุนสถาบัน (Book Build)

วัตถุประสงค์ในการเสนอขาย IPO เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการต่อไป โดยหุ้น IPO ของ TNR ที่เสนอขายจำนวน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย TNR จำนวน 37.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทอีกจำนวน 37.50 ล้านหุ้น ซึ่งหุ้นเสนอขาย IPO ทั้งหมดคิดเป็น 25% ของหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO

ปัจจุบัน TNR มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 262.50 ล้านบาท

นายแทนพงศ์ กล่าวว่า ความน่าสนใจของ TNR ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตและมีความยั่งยืนของธุรกิจอย่างมาก โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตและรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นที่มีคุณภาพสูง และมีลูกค้าที่ใช้บริการรับจ้างผลิตหลากหลาย ประกอบกับ มีจุดแข็งในเรื่องของใบอนุญาตการผลิตถุงยางอนามัยที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือแพทย์ ถือเป็นจุดเด่นของบริษัท เพราะใบอนุญาตการผลิตมีเพียงผู้ผลิตไม่กี่รายที่ได้รับ

ประกอบกับ เมื่อบริษัทได้นำเงินจากการการเสนอขาย IPO ไปชำระหนี้แล้วนั้น จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงอย่างมาก จากปัจจุบันมี D/E อยู่ที่ 2.4 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินลดลงและดอกเบี้ยจ่ายลดลงอีกด้วย ขณะที่มีนโยบายการจ่ายปันผลที่ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวว่า บริษัทมีศักภาพความพร้อมด้านการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1.95 พันล้านชิ้นต่อปี จากฐานการผลิตของโรงงานทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี กำลังการผลิต 1,533 ล้านชิ้น และดรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กำลังการผลิต 426 ล้านชิ้น โดยปัจจุบันใช้กำลังการผลิตทั้งหมดอยู่เฉลี่ยที่ 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

บริษัทมีการดำเนินงานใน 3 ธุรกิจหลัก คือ การผลิตถุงยางอนามัยและจำหน่ายถุงยางอนามัยภายใตเครื่องหมายการค้า Onetouch ที่มีการจำหน่ายผ่านผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่างๆทั้งในไทยและต่อประเทศ อย่างเช่น ในกลุ่ม CLMV และประเทศอียิปต์ โดยบริษัทมีเปาหมายที่จะขายตลาดเพิ่มขึ้นไปในทวีปแอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและส่วนแบ่งตลาดให้เพิ่มขึ้น

โดยในประเทศไทยนั้นบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดแบรนด์ Onetouch ภายในปี 63 เพิ่มเป็น 35% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยอยู่ที่ 20.6% ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 รองจากผู้นำตลาดแบรนด์ถุงยางอนามัยระดับโลกที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยที่ 58% และมีกำลังการผลิตเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 4 พันล้านชิ้นต่อปี ซึ่งบริษัทมีกำลังการผลิตเป็นอันดับ 2 ของโลกที่เกือบ 2 พันล้านชิ้นต่อปี

ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น บริษัทได้เป็นผู้รับจ้างผลิตให้แก่ยริษัทเอกชนและองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 ประเทศ ทั้งในเอชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และแถบตะวันออกกลาง รวมถึงยังเป็นผู้รับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยทั่วโลกให้กับแบรนด์ PLAYBOY และกลุ่มธุรกิจประมูล (Tender) บริษัทได้เข้าร่วมประมูลงานจากองค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่เพียงพอและมีมาตรฐานการผลิตที่สูง

ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมา 3 ปี (56-58) บริษัทมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 11.3% ซึ่งคาดว่าปีนี้รายได้จะมีการเติบโตในทิศทางเดียวกันซึ่งเติบโตจากสิ้นปีก่อนที่บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท โดยรายได้ 9 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 934.2 ล้านบาท สูงกว่ารายได้ 9 เดือนของปี 58 ที่ 927.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เร่งขยายตลาดไปสู่ประเทศใหม่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกาที่ยังมีความต้องการใช้สินค้าและโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ