ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้และแนวโน้ม HMPRO ที่ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 17, 2016 13:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการบริหารสินค้าคงคลัง และผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในการบริหารธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการแข่งขันในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทยต่อไปได้ โดยที่บริษัทจะยังคงอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่มีการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโต

ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจทั้งในส่วนของร้านค้ารูปแบบใหม่หรือตลาดใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากการแข่งขันรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือมีการลงทุนจำนวนมากจนส่งผลทำให้สถานะด้านการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างเป็นนัยสำคัญอย่างต่อเนื่อง

บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับการปรับปรุงที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น 30.2% และ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น19.9% ปัจจุบันบริษัทมีร้านค้า 2 รูปแบบคือ “โฮมโปร" ซึ่งเป็นร้านค้ารูปแบบเดิมของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร โดยมีพื้นที่ขายประมาณ 3,000-12,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อสาขา และ “เมกาโฮม" ซึ่งเป็นร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่เน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนเจ้าของโครงการ ร้านค้ารายย่อย และผู้บริโภค โดยแต่ละสาขาของเมกาโฮมมีพื้นที่ขายประมาณ 10,000-20,000 ตร.ม.

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 88 สาขา ซึ่งประกอบด้วยร้านค้า โฮมโปร 22 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 56 สาขาในต่างจังหวัด 1 สาขาในประเทศมาเลเซีย และร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮมอีก 9 สาขา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร 3 สาขาและร้านค้าเมกาโฮม 2 สาขา การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทสามารถสร้างฐานธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ

ในปี 2558 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2559 ยอดขายของสาขาเดิมของผู้ค้าปลีกโดยส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาสินค้าทางการเกษตรที่คงอยู่ในระดับต่ำยอดขายของสาขาเดิมของบริษัทติดลบที่ 1.4% ในปี 2558 การแข่งขันกันเองระหว่างสาขาของบริษัทในบางพื้นที่เป็นอักปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ยอดขายของสาขาเดิมลดต่ำลงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยอดขายของสาขาเดิมฟื้นตัวเล็กน้อยโดยเติบโต 2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 สาเหตุหลักมาจากการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่องของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับปานกลางจนถึงสูงที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายของบริษัทรวมสาขาใหม่ที่เปิดใหม่เติบโต 9.5% หรือเท่ากับ 52,513 ล้านบาทในปี 2558 และเพิ่มขึ้น 9.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ยอดขายของเมกาโฮมและสาขาที่ประเทศมาเลเซียมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11.3% ของยอดขายรวมของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559

อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทยังคงอยู่ในระดับดีที่ 15.0% ในปี 2558 และ 14.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อัตรากำไรลดลงเล็กน้อย เนื่องจากสัดส่วนของรายได้ของบริษัทเปลี่ยนแปลงโดยยอดขายที่มาจากร้านค้าเมกาโฮมซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่ามีอัตราการเติบโตมากกว่าร้านค้ารูปแบบเดิมของโฮมโปร

ในช่วงปี 2555-2558 บริษัทขยายสาขาจำนวนมากในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยมีการลงทุนประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาทต่อปี เปิดสาขาปีละ 8-13 สาขา เทียบกับเงินลงทุนประมาณ 2,000-4,000 ล้านบาทต่อปี เปิดสาขาปีละ 4 สาขาในช่วงก่อนหน้า การลงทุนจำนวนมากส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 46.7%-50.8% ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 จากระดับ 34%-40% ในช่วงระหว่างปี 2552-2555 แม้ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น แต่สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดีเนื่องจากความสำเร็จของการขยายสาขา บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 5,623 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 6,394 ล้านบาทในปี 2558 และเป็น 5,123 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 37.2% ในปี 2557 40% ในปี 2558 และ 42.1% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทก็ยังคงอยู่ระดับที่แข็งแกร่งที่ 11.3-11.7 เท่าในช่วงปี 2557 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2559

เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2559 บริษัทมีแผนการขยายสาขา 12 แห่ง ซึ่งรวมสาขารูปแบบใหม่คือ “โฮมโปร ลิฟวิ่ง" ด้วยงบลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากแผนการลงทุนที่วางไว้ และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าอยู่ในระดับ 6,000-8,000 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับปานกลางหรือที่ระดับประมาณ 50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 35%-40%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ