MBKET มองตลาดหุ้นไทยปี 60 ยังเผชิญความไม่แน่นอนจากภายนอก แต่ปัจจัยในประเทศฟื้นตัวดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 15, 2016 17:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี ศรไพศาล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) กล่าวว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปี 60 ถือว่าเป็นปีที่มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนมากขึ้นของกระบวนการ Brexit และการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของแหรัฐฯในช่วงเดือน ม.ค.60 ซึ่งทั้ง 2 การเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าพลิกความคาดหมายของตลาดที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะต้องติดตามถึงการดำเนินนโยบายต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก

อีกทั้งความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังคงมีความผันผวน โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่คาดว่าจะที่ความผันผวนอยู่ตลอด ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน ขณะที่ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อกระแสเงินทุนและการลงทุนในตลาดหุ้นปี 60 โดนในแง่ของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปี 60 จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่กดดีนการลงทุนในตลาดหุ้น

สำหรับประเทศไทยนั้นแม้ว่าปัจจุบันไปจนถึงปีหน้าจะต้องเผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนของโลกกึตาม แต่ความแข็งแกร่งของประเทศไทยถือว่ายังอยู่ไนระดับที่สูง เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่สูงมูลค่า 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นลำดับที่ 12 รองจากประเทศเยอรมัน ซึ่งการที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่สูงถือว่าเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของกระแสเงินทุนที่มีแนวโน้มของการไหลออก

ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 60 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีนี้ ซึ่งจะเป็นผลมาจากการลงทุนภาครัฐในโครงการก่อสร้างโครงสริงพื้นฐานต่างๆ และทำให้การลงทุนภาคเอกชนมีการลงทุนตาม อีกทั้งจะยังมีแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ภาวะภัยแล้งได้ผ่านพ้นไป ทำให้ประชาชนภาคเกษตรซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นตาม

ขณะที่แนวโน้มของหนี้สินครัวเรือนในปี 60 คาดว่าจะมีสัดส่วนที่ลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 80% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็นผลมาจากรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกครบระยะการถือครอง ทำให้ประชาชนเริ่มมีหนี้สินลดลง และกำลังซื้อจะกลับมา ช่วยหนุนการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยเข้ามาทดแทนภาคการส่งออกที่ยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะความผันผวนของโลก

ด้านแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นปีหน้า นักลงทุนจะต้องมองเกมส์การลงทุนใหม่จากปัจจุบันที่นักลงทุนส่วนใหญ่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ (Low Beta) เพราะในปีนี้มีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกสูงมาก แต่ในปีหน้ามองว่าการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและการลงทุนของภาครัฐ

หุ้นที่แนะนำจะอยู่ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างเช่น SCB, KBANK และ TMB ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวรวมถึงการลงทุนภาครัฐ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ CK ที่ได้รับผลบวกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ กลุ่มค้าปลีกที่ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น โดยแนะนำหุ้น CPN

ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่แนวโน้มของความต้องซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการลงทุนรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัว โดยแนะนำหุ้น PSH และ SPALI ส่วนกลุ่มพลังงานที่แนะนำ คือ PTT, IRPC, PTTGC และ IVL และกลุ่มอาหาร โดยแนะนำเป็นกลุ่มอาหารที่มีธุรกิจอาหารที่อิงกับตลาดสหรัฐฯ โดยแนะนำหุ้น TU


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ